วันนี้ เราจะออกเดินทางไปในโลกแห่งเศรษฐศาสตร์ เพื่อค้นหาปริศนาของภาวะเงินเฟ้อขั้นรุนแรง หรือ Hyperinflation กัน
ลองนึกภาพดู วันหนึ่ง น้ำอัดลมที่เราชอบดื่มมีราคาเพียงขวดละ 10 บาท แต่วันถัดไปราคามันกลับขึ้นเป็นขวดละ 150 บาท ฟังดูเป็นไปไม่ได้ใช่ไหม แต่มันเป็นไปได้ด้วยเหตุการณ์ Hyperinflation ที่ค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้น และมูลค่าของเงินลดลงอย่างมาก แล้วอะไรที่เป็นสาเหตุของหายนะทางเศรษฐกิจแบบนี้กัน
Philip Cagan นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง อธิบายภาวะเงินเฟ้อขั้นรุนแรงว่า เป็นช่วงเวลาที่ราคาของสินค้าทั่วไป พุ่งสูงขึ้นกว่า 50% ภายในเดือนเดียว ลองนึกภาพราคาของอาหารตามสั่งเพิ่มขึ้นจากจานละ 50 กลายเป็น 75 บาทภายในหนึ่งเดือน และเพิ่มขึ้นเป็น 112.5 บาทในเดือนถัดไป และเพิ่มขึ้นอีกในเดือนถัดๆ ไป จนอาหารตามสั่งที่เรากิน กลายเป็นจานละ 4000 บาทภายในหนึ่งปี
นี้คือภาวะเงินเฟ้อขั้นรุนแรงหรือ Hyperinflation มันเป็นเหมือนกระแสน้ำที่ปั่นปวนที่ทำให้ราคาของสินค้าพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว มันทำลายความเชื่อมันของรัฐบาล ลดมูลค่าของสกุลเงิน อาจนำไปสู่การปิดบริษัทจำนวนมากและทำให้อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น
ขึ้นเรือมา แล้วเราจะออกเดินทางไปยังตัวอย่างของประเทศที่เจอกับภาวะเงินเฟ้อขั้นรุนแรงกัน
เยอรมนี
จุดหมายปลายทางแรกคือประเทศเยอรมนีในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เยอรมนีได้ทำการกู้ยืมเงินมาทำสงครามเป็นจำนวนมาก โดยหวังว่าจะเอาชนะให้ได้ และให้ฝ่ายสัมพันธมิตรทำการจ่ายหนี้แทน แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น เยอรมนีแพ้สงคราม ทำให้ต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามและใช้หนี้ด้วยตัวเอง
ในช่วงนั้น อัตราเงินเฟ้อของเยอรมนีเพิ่มขึ้นกว่า 20% ต่อวัน เพราะนอกจากจะเป็นหนี้จำนวนมากแล้ว รัฐบาลเยอรมนียังทำการพิมพ์เงินออกมามหาศาล ทำให้มูลค่าของมันลดลง โดยประชาชนถึงกับนำเงินสดมาเผาไฟเพื่อให้ความอบอุ่น เพราะมันคุ้มกว่าการนำไปซื้อฟืนเสียอีก
เวเนซุเอลา
จัดหมายถัดมาคือประเทศเวเนซุเอลา ประเทศที่มีน้ำมันสำรองมากมาย แต่ต้องพบเจอกับปัญหาการจัดการทางเศรษฐกิจที่ล้มเหลวและปัญหาการคอร์รัปชั่น ทำให้เมื่อปี 2019 เวเนซุเอลาเจอกับอัตราเงินเฟ้อสูงถึง 2,600,000%
โดยมันทุกอย่างมันเริ่มเลวร้ายในปี 2010 จนในปี 2014 เวเนซุเอลาเจอกับอัตราเงินเฟ้อถึง 69% และเพิ่มเป็น 181% ในปี 2015 ทำให้ประเทศเจอกับภาวะ hyperinflation ในปี 2016 ที่มีอัตราเงินเฟ้อ 800^ ตอนสิ้นปี และ 4000% ในปี 2017 และมากกว่า 2,600,000% ในปี 2019
ซิมบับเว
จุดหมายสุดท้ายของเราคือประเทศซิมบับเว ซึ่งหลังจากได้รับเอกชารในปี 1980 ซิมบับเวก็มีเศรษฐกิจที่ค่อนข้างมั่นคง จนกระทั่งในช่วงปี 1991 รัฐบาลได้ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ซึ่งส่วนสำคัญคือ การปฏิรูปที่ดินที่ดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่รัฐฯ ทำให้การผลิตอาหารลดลงอย่างมาก จนนำไปสูงวิกฤตทางการเงินและสังคม
ภาวะเงินเฟ้อรุนแรงของซิมบับเวเริ่มขึ้นในต้นปี 2000 อัตราเงินเฟ้อต่อปีอยู่ที่ 624% ในปี2004, 1,730% ในปี 2006 และ 231,150,888% ในเดือนกรกฎาคมปี 2008
จากการคำนวณของศาสตราจารย์ Steve H. Hanke ภาวะเงินเฟ้อขั้นรุนแรงของซิมบับเวถึงจุดสูงสุดในเดือนพฤศจิกายนปี 2008 ในอัตรา 89.7 ล้านล้านเปอร์เซ็นต์ต่อปี ซึ่งเทียบเท่ากับ 79,600,000,000%ต่อเดือน หรือ 98% ต่อวัน
ท่ามกล่างวิกฤตเศรษฐกิจ สัญญาณแห่งความหวังที่เกิดขึ้นคือ สกุลเงินดิจิทัล ซึ่งไม่ถูกผูกผัดกับรัฐบาลหรือสถาบันทางการเงินได้ เวเนซุเอลาและซิมบับเวมีการใช้สกุลเงินดิจิทัลมากขึ้น นอกจากนี้ สวีเดน, สิงคโปร์, แคนาดา, จีน และสหรัฐฯ ต่างก็มีแผนที่จะเปิดตัวสกุลเงินดิจิทัลของตนเอง
แม้ว่า Hyperinflation อาจจะดูไกลตัวเรา แต่ก็เป็นเครื่องเตือนใจว่า ระบบเศรษฐกิจของเราเปราะบางเพียงใด ดังที่เราได้เห็นกันมาแล้ว ความไม่สงบทางการเมืองหรือความต้องการสินค้าส่งออกของประเทศเราลดลง สามารถกระตุ้นให้เกิดหายนะทางเศรษฐกิจได้
แม้ว่าการพิมพ์เงินออกมาเพิ่มจะดูเป็นการแก้ปัญหาง่ายๆ แต่ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นแล้วว่ามันเป็นเพียงการแก้ไขเฉพาะหน้าเท่านั้น การมาถึงของสกุลเงินดิจิทัล อาจเป็นเหมือนเรือชูชีพที่จะช่วยเราจากเรือเศรษฐกิจที่อาจจะล่มในอนาคตก็เป็นได้