Jonathan de Wet หัวหน้าฝ่ายการลงทุนจาก Zerocap บริษัทซื้อขายคริปโตจากออสเตรเลียเปิดเผยว่า ราคา Bitcoin อาจร่วงต่ำได้ถึง 53,000 ดอลลาร์ และขึ้นสูงได้ถึง 65,000 ดอลลาร์ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 18 กันยายนนี้
De Wet ให้สัมภาษณ์กับ Cointelegraph ว่า ตอนนี้ตลาดคาดการณ์ว่า มีโอกาส 62% ที่เฟดจะปรับลดดอกเบี้ยอย่างน้อย 0.5% ซึ่งอาจทำให้ราคา Bitcoin เพิ่มแตะ 60,000 ดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม การประเมินราคา Bitcoin หลังการปรับลดดอกเบี้ยเป็นเรื่องยาก เนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลกระทบของการลดดอกเบี้ยในระยะสั้น และความซับซ้อนจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายนด้วย
De Wet กล่าวว่า “เรามองเป้าหมายขาลงของ Bitcoin อยู่ที่ 53,000 ดอลลาร์ โดยเป้าหมายขาขึ้นอยู่ที่ 65,000 ดอลลาร์ หลังทะลุ Descending Wedge ได้ แต่ก็ยังบอกยากว่า Bitcoin จะเคลื่อนไหวไปในทิศทางใดจนกว่าจะเข้าใกล้ช่วงเลือกตั้งมากกว่านี้ เพียงแต่ความเสี่ยงจากเงื่อนไขต่าง ๆ น่าจะทำให้ตลาดมีความรู้สึกเชิงบวกในระยะสั้น”
ปัจจุบัน Bitcoin ซื้อขายอยู่ที่ช่วง 58,000 ดอลลาร์ หลังจากเคยทะลุ 60,000 ดอลลาร์ เมื่อวันที่ 13 กันยายน โดยแรงหนุนสำคัญมาจากข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่แข็งแกร่ง
De Wet อธิบายว่า เพราะเฟดรอมานานกว่าจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ย ทำให้ทาง Zerocap เชื่อว่าเฟดจะปรับลด 0.5% มากกว่า และเป็นไปได้ที่จะเข้าสู่ช่วง Cycle ของการลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งน่าจะช่วยสนับสนุนสินทรัพย์เสี่ยงไปจนถึงสิ้นปีนี้
ทั้งนี้ ข้อมูลล่าสุดจาก FedWatch Tool ของ CME Group แสดงให้เห็นว่า มีโอกาส 62% ที่เฟดจะปรับลดดอกเบี้ย 0.5% ในวันที่ 18 กันยายนนี้
อย่างไรก็ตาม การลดดอกเบี้ยที่จะถึงนี้ได้เป็นที่ถกเถียงอย่างมากในกลุ่มนักวิเคราะห์ โดยยังมีทั้งฝ่ายที่มองว่าการลดดอกเบี้ยจะเป็นปัจจัยบวกและฝ่ายที่มองว่าเป็นปัจจัยลบต่อสินทรัพย์เสี่ยงอย่างคริปโทเคอร์เรนซี
ในอดีต ตลาดมักจะมองว่าการปรับลดดอกเบี้ยเป็นบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง เพราะทำให้นักลงทุนกู้เงินได้ในต้นทุนที่ถูกกว่า และมองหาสินทรัพย์เสี่ยงเพราะดอกเบี้ยเงินสดและพันธบัตรลดลง อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลายรายชี้ว่า ในตลาดเมื่อปี 2001 และ 2007 ที่การปรับลดดอกเบี้ยก่อนเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเศรษฐกิจในภาพรวมอ่อนแอ
De Wet เสริมว่า ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐยังคงฉุดตลาดคริปโตไว้ เพราะนักลงทุนยังไม่มั่นใจว่าหาก Kamala Harris ชนะการเลือกตั้ง จะเกิดผลกระทบอย่างไรต่ออุตสาหกรรมคริปโต
Reference: cointelegraph