KEY TAKEAWAYS
- ความนิยมใช้รถยนต์ไฟฟ้ากำลังเพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยยอดส่งมอบยอดส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าในครึ่งแรกของปี 2566 นั้นเกินกว่า 6 ล้านคัน ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 40% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
- ขณะเดียวกันยอดจดทะเบียนรถใหม่ประเภทรถนั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนสิงหาคม 2566 ก็เป็นรถยนต์ไฟฟ้า 43,158 คัน จากยอดจดทะเบียนทั้งหมด 455,455 คัน หรือคิดเป็น 10.55% มากกว่ายอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดของปี 2565 ที่มีเพียง 9,729 คันเท่านั้น
- ปัจจัยสำคัญที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าเป็นที่นิยมก็คือราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงแนวทางและนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลทั่วโลกที่สนับสนุนการผลิตและใช้รถยนต์ไฟฟ้า ขณะเดียวกัน กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ทั้งจีนและยุโรปต่างพร้อมใจกันผลิตรถยนต์ไฟฟ้าออกมาแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดกันอย่างดุเดือด ทำให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าคึกคักอย่างมาก
รถน้ำมันกำลังจะหมดไป รถยนต์ไฟฟ้า EV จะมาแทน
กระแสความนิยม “รถยนต์ไฟฟ้า” กำลังเพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยเว็บไซต์ www.ev-volumes.com ที่รวบรวมข้อมูลยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกแสดงให้เห็นว่า ยอดส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าในครึ่งแรกของปี 2566 นั้นเกินกว่า 6 ล้านคัน ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 40% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยแบ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) 4.27 ล้านคัน และรถปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) 1.76 ล้านคัน
รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) และรถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) แตกต่างกันอย่างไร
รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle: BEV) เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานไฟฟ้า 100% จากแบตเตอรี่ในการขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้า และไม่มีเครื่องยนต์ที่ต้องเผาไหม้เชื้อเพลิงจึงไม่มีการปล่อยมลพิษออกมา ส่วนรถปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) เป็นรถยนต์ที่สามารถขับเคลื่อนได้ด้วยเครื่องยนต์สันดาป และมอเตอร์ไฟฟ้า โดยตัวรถจะสามารถเลือกได้ว่าจะขับเคลื่อนด้วยพลังงานทั้ง 2 แบบ, แบบเครื่องยนต์อย่างเดียว และไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้
ขณะเดียวกัน ยอดจดทะเบียนรถใหม่ประเภทรถนั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนสิงหาคม 2566 จากกลุ่มสถิติการขนส่ง กองแผนงาน กรมการขนส่งทางบก เป็นรถยนต์ไฟฟ้า 43,158 คัน จากยอดจดทะเบียนทั้งหมด 455,455 คัน หรือคิดเป็น 10.55% มากกว่ายอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดของปี 2565 ที่มีเพียง 9,729 คันเท่านั้น
แล้วทำไมอยู่ ๆ กระแสรถยนต์ไฟฟ้าจึงมาแรง
ปัจจัยสำคัญคือราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงแนวทางและนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลทั่วโลกที่สนับสนุนการผลิตและใช้รถยนต์ไฟฟ้า เพราะต้องการลดการปลดปล่อยมลพิษของรถที่ใช้น้ำมัน เมื่อรวมปัจจัยทั้งจากฝั่งผู้บริโภคและรัฐบาลเข้าด้วยกัน ทำให้ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก
ขณะเดียวกัน กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ทั้งจีนและยุโรปต่างพร้อมใจกันผลิตรถยนต์ไฟฟ้าออกมาแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดกันอย่างดุเดือด ทำให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าคึกคักอย่างมาก ทั้งการแข่งกันด้านราคา โปรโมชัน ฟีเจอร์ต่าง ๆ ของรถ รวมไปถึงเรื่องของศูนย์บริการและบริการหลังการขายด้วย ซึ่งล้วนเป็นประโยชน์กับผู้บริโภคทั้งสิ้น
เปิดข้อดี-ข้อเสียของรถยนต์ไฟฟ้า
จากตารางข้างต้นจะเห็นได้ว่า รถไฟฟ้าจะปลดปล่อยมลพิษน้อยกว่า มีเสียงเครื่องยนต์เบากว่า และอัตราเร่งที่ดีกว่ารถน้ำมัน รวมถึงค่าเชื้อเพลิงก็ต่ำกว่า และสามารถชาร์จไฟเองที่บ้านได้ แต่ก็แลกมากับการใช้เวลาชาร์จค่อนข้างนาน
นอกจากนี้ แม้จะเป็นที่นิยมมากขึ้น แต่จุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าก็ยังน้อยมากเมื่อเทียบกับปั๊มน้ำมัน ทำให้การจะเดินทางแต่ละครั้งต้องวางแผนให้ดี เพราะอาจมีกรณีที่แบตเตอรี่ไฟหมดและหาสถานีชาร์จไม่ได้
ขณะเดียวกัน ด้วยความที่เป็นของใหม่ ทำให้ศูนย์บริการยังมีน้อยอยู่ และอะไหล่แต่ละอย่างก็ไม่ได้มีให้เลือกเปลี่ยนได้เหมือนรถน้ำมัน อีกทั้งหากแบตเตอรี่ซึ่งเป็นเหมือนหัวใจของรถไฟฟ้า EV เกิดเสียขึ้นมา ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนแบตเตอรี่แต่ละทีก็สูงจนแทบจะครึ่งหนึ่งของราคารถแล้ว ซึ่งมีผลทำให้ค่าเบี้ยประกันของรถยนต์ไฟฟ้าสูงขึ้นตามไปด้วย
แล้วแบรนด์ไหนเป็นที่นิยมในไทย?
จากยอดจดทะเบียนรถใหม่ประเภทรถนั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนสิงหาคม 2566 จะเห็นได้ว่า แบรนด์ BYD มียอดขายทิ้งห่างแบรนด์อื่นอย่างมาก โดยมี BYD Atto 3 ขึ้นแท่นรถยนต์ไฟฟ้าที่ขายดีที่สุดในไทย ราคาเริ่มต้น 1,099,900 ขณะที่อันดับ 2 อย่าง Neta มี Neta V ที่เป็นรถขนาดเล็กกว่า แต่ราคาเริ่มต้นเพียง 549,000 บาท ส่วน Tesla คือแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่เคยเป็นที่นิยมอันดับ 1 ของโลก แต่ถูก BYD ดึงดูดลูกค้าไปในปี 2566 ได้เปิดตัว Tesla Model Y และ Model 3 ในไทย โดยราคาเริ่มต้นที่ 1,599,000 บาท และ 1,699,000 บาทตามลำดับ อาจเรียกได้ว่าทั้ง 3 แบรนด์มีกลุ่มลูกค้าคนละกลุ่มกันเลย
อย่างไรก็ตาม ทาง BYD ได้ยังมีรุ่น BYD Dolphin ในราคาเริ่มต้น 699,999 บาท และเพิ่งเปิดตัวรุ่น BYD Seal ในราคาเริ่มต้น 1,325,000 บาท ซึ่งเป็นการขยายตลาดของตัวเองให้ครอบคลุมมากขึ้น และก็ได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี โดย BYD Seal มียอดจองกว่า 1,289 คัน ภายในวันเดียว หลังเปิดตัวเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2566
และสำหรับผู้สนใจเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าสักคัน เราได้เปรียบเทียบสเปกรถรุ่นที่กำลังเป็นที่นิยมและมาแรงในปัจจุบันไว้คร่าว ๆ สำหรับการพิจารณาเบื้องต้น อย่างไรก็ตาม ข้อมูลด้านล่างนี้เป็นเพียงสเปครถเบื้องต้นเท่านั้น ผู้สนใจสามารถดูข้อมูลอย่างละเอียดได้ที่เว็บไซต์ทางการของแต่ละแบรนด์ได้เลย
เปรียบเทียบสเปกรถยนต์ไฟฟ้า
References: Ev-Volumes, Statistics, Autolife Thailand, Exclusive