ลองนึกภาพว่าถ้าโลกอินเทอร์เน็ตเป็นเมืองขนาดยักษ์ ที่ซึ่งประชาชนไม่ได้ถูกตรวจสอบหรือสอดส่องจากองค์กรขนาดใหญ่อยู่ตลอดเวลา และการกระทำคนในเมือง ก็ไม่ได้ถูกจำกัดโดยบรรดา “สภาเมือง” นี่คือแนวคิดพื้นฐานที่อยู่เบื้องหลัง Web3 ซึ่งเป็นอินเทอร์เน็ตเวอร์ชันใหม่ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อจัดการกับปัญหาที่เราเผชิญในปัจจุบัน เช่น ข้อมูลส่วนตัวของเราที่ถูกบริษัทขนาดใหญ่นำไปใช้ประโยชน์
Web3 พยายามที่จะให้อำนาจแก่ผู้ใช้เองมากกว่านำไปให้บริษัทขนาดใหญ่เหล่านี้ และเทคโนโลยีบล็อกเชนซึ่งเป็นที่รู้จักจากความเป็น Decentralized สามารถมีบทบาทอย่างมากในการเปลี่ยนแปลงนี้
ดังนั้นความแตกต่างระหว่าง Web2 และ Web3 คืออะไร ?
ลองนึกภาพถึงช่วงเวลาการพัฒนาของอินเตอร์เน็ตในอดีต เช่น Web1 เป็นจุดเริ่มต้นที่คุณสามารถอ่านข้อมูลออนไลน์ได้เท่านั้น แต่ไม่สามารถโต้ตอบหรือเปลี่ยนแปลงได้ เหมือนกับคุณไปห้องสมุดเพื่ออ่านหนังสือได้อย่างเดียว แต่คุณไม่สามารถยืมหรือสัมผัสหนังสือได้
จากนั้น Web2 ก็มาถึง ซึ่งเป็นเหมือนร้านกาแฟขนาดใหญ่ที่ทุกคนแบ่งปันเรื่องราวของพวกเขา เราสามารถสร้างเนื้อหาของเราเองและโต้ตอบกับผู้อื่นได้ แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทยักษ์ใหญ่เจ้าของร้านกาแฟ มีอำนาจในการควบคุมข้อมูลของเราและใช้ประโยชน์จากข้อมูลเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง
ตอนนี้เรากำลังรอคอย Web3 อินเทอร์เน็ตรูปแบบใหม่ ที่เราตั้งเป้าที่จะเรียกคืนความเป็นเจ้าของและการควบคุมข้อมูลของพวกเรากลับมา ที่นี่ แพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ จะถูกทำให้เป็น Decentralized หมายความว่าไม่มีหน่วยงานหรือองค์กรใดที่ควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ Digital Ownership, Digital-Native Payments และ Censorship Resistant ยังเป็นส่วนประกอบของ Web3 คิดซะว่า Web3 เป็นประชาธิปไตยดิจิทัลที่ทุกคนมีสิทธิมีเสียง
แล้ว Blockchain และ Cryptocurrency เข้ามาเกี่ยวกับ Web3 ได้อย่างไร
Blockchain และ cryptocurrency ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่แบบ Decentralized โดยเนื้อแท้ เปรียบเสมือนรากฐานของเมือง Web3 ของเรา มันมีบทบาทหลายอย่าง เช่น :
Decentralization : เช่นเดียวกับในสังคมประชาธิปไตย เทคโนโลยีบล็อกเชนสามารถกระจายอำนาจและข้อมูล ป้องกันไม่ให้มันกระจุกตัวอยู่ในมือของคนไม่กี่คน
ทุกคนเข้าถึงได้: ลองนึกภาพสวนสนุกที่ไม่มีค่าเข้า ทุกคนในโลกสามารถเข้าถึงและใช้งานแอปที่ใช้บล็อกเชนได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม
Trustless: การทำธุรกรรมในยุค Web3 ไม่จำเป็นต้องเชื่อถือบุคคลที่สามเช่นธนาคาร สิ่งเดียวที่คุณต้องเชื่อคือระบบ แค่นั้นเอง
Payments: สกุลเงินดิจิทัลสามารถใช้เป็นสื่อกลางในการชำระเงินออนไลน์ได้ แทนที่ระบบเดิมที่มักมีราคาแพงและเทอะทะที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน
Ownership : เครื่องมือคริปโต ช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัดเก็บสินทรัพย์ดิจิทัลได้โดยไม่ต้องมีคนกลาง และสามารถตรวจสอบความเป็นเจ้าของได้เพราะบล็อกเชนมันเป็นสาธารณะ
Freedom of Speech : บล็อกเชนได้รับการออกแบบมาให้เป็น Censorship Resistant เพื่อให้มั่นใจว่าเมื่อมีการบันทึกบางอย่างแล้ว มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะลบออก
แล้วเราจำเป็นต้องมี Blockchain และ Cryptocurrency สำหรับโลก Web3 ไหม ?
Web3 ไม่ใช่แค่เกี่ยวกับบล็อคเชนและคริปโตเท่านั้น คิดว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งโลกอินเตอร์เน็ตที่กว้างขึ้นกว่าเดิม โดยทำงานร่วมกับเทคโนโลยีต่างๆ เช่น Augmented Reality (AR), Virtual Reality (VR), the Internet of Things (IoT) และ Metaverse
เทคโนโลยีเหล่านี้ทำให้อินเทอร์เน็ตสมจริงยิ่งขึ้น และเชื่อมโยงกับโลกแห่งความจริง ตัวอย่างเช่น AR สามารถนำข้อมูลในโลกดิจิทัลมาฉายลงในโลกจริง, VR สามารถสร้างสภาพแวดล้อมสมมุติขึ้นมาได้ และ IoT สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ ผ่านอินเทอร์เน็ต การรวมสิ่งเหล่านี้เข้าด้วยกันอาจทำให้เกิดแนวคิดของ Metaverse
โลก Web3 ที่มี Blockchain และ Crypto จะเป็นอย่างไร ?
ลองจินตนาการว่าบล็อกเชนเป็นโครงสร้างพื้นฐานของเมือง เช่น ถนน, ระบบการประปา, ระบบไฟฟ้า เราอาจไม่เห็นมันตลอดเวลา แต่มันทำให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น เช่นเดียวกัน เราอาจไม่สังเกตเห็นเทคโนโลยีบล็อกเชนที่อยู่เบื้องหลัง Web3 แต่การมีอยู่ของมัน ก็เพื่อให้โลกที่เราต้องการ ทำงานได้อย่างที่ควรจะเป็น
ในเมืองนี้ คุณสามารถมีกระเป๋าเงินดิจิทัลที่คุณเก็บของสะสมหรือคริปโตของคุณเอง และคุณสามารถพิสูจน์ความเป็นเจ้าของได้ผ่านบล็อกเชน Web3 ยังช่วยให้ผู้คนร่วมกันตัดสินใจผ่านสิ่งที่เรียกว่า Decentralized Autonomous Organization (DAO) มันคล้ายกับสภา แต่อำนาจอยู่ในมือของประชาชน ด้วยการตัดสินใจผ่านการลงคะแนนเสียง
Web3 เป็นวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนสำหรับโลกอินเทอร์เน็ตที่ดีกว่าปัจจุบัน ซึ่งมอบพลังให้แก่ผู้ใช้ และลดอิทธิพลของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ แม้ว่าจะยังคงเป็นเพียงความฝันมากกว่าความเป็นจริง แต่การมาถึงของบล็อกเชนและคริปโต สองสิ่งที่เชื่อว่าจะเป็นเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้ เพราะมันมีคุณสมบัติอย่าง Decentralized, Permissionless, and Trustless มันถูกกำหนดให้ทำงานร่วมกันกับเทคโนโลยีต่างๆ เช่น AR, VR และ IoT เพื่ออนาคตของโลกอินเตอร์เน็ตของพวกเรา