Blockchain Genesis, Thailand Blockchain Week 2023 ครั้งที่ 6 ภายใต้แนวคิด “Build in Bear, Rise in Bull” มหกรรมงานบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในไทย นำทัพโดยนายสัญชัย ปอปลี ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คริปโตมายด์ กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด ถ่ายทอดความรู้ และประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญชั้นนำระดับประเทศและระดับโลกมากกว่า 170 ท่าน โดยเนื้อหาที่นำ เสนอในงาน ครอบคลุมทุกมิติของเทคโนโลยีบล็อกเชน ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ เป็นประโยชน์ต่อ ผู้สนใจทั่วไป นักพัฒนา และผู้ประกอบการที่ต้องการนำบล็อกเชนมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจ
การจัดงานทั้งสองวันมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 5,000 คน ที่มาร่วมกิจกรรมเยี่ยมชม 40 บริษัท ทั้งสปอนเซอร์และพาร์ทเนอร์ที่ร่วมออกบูทในงาน สะท้อนให้เห็นถึงความตื่นตัวและความสนใจใน เทคโนโลยีบล็อกเชนในประเทศไทย ก่อให้เกิดกิจกรรมการแลกเปลี่ยนความรู้ ความสนุกสนาน และบรรยากาศในการสนทนาที่ก่อให้เกิดมิตรภาพและความร่วมมือในการสร้างสรรค์นวัตกรรม ผลิตภัณฑ์ ทางเทคโนโลยี ที่จะต่อยอดโอกาสในโลกสินทรัพย์ดิจิทัลได้อีกมากมายมหาศาล อีกทั้งยังมีหัวข้อสัมมนา ที่น่าสนใจอย่างมากมายกว่า 50 หัวข้อ ซึ่งเป็นความรู้ที่หาไม่ได้ทั่วไป Exclusive ให้กับทุกคนที่มาร่วมงาน ในครั้งนี้
เปิดใจหมัดต่อหมัด!! เงินดิจิทัล 10,000 บาท ควรหรือไม่??
นาวาอากาศตรีศิธา ทิวารี อดีตเลขาธิการ และอดีตประธานคณะกรรมการอำนวยการ และพัฒนาพรรคไทยสร้างไทย นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล นายสิทธิพล พรรณวิไล นักพัฒนาชื่อดัง ผู้ก่อตั้ง “Apetimism” และนายธีระชาติ ก่อตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามสแควร์ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ “StockRadars” ร่วมแสดงความคิดเห็นบนเวทีโดยมีการทำผลสำรวจหากประชาชนได้เงินแล้ว คนส่วนใหญ่มักนำเงินไปทำอะไร พร้อมตีแผ่ข้อดี ข้อเสียนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท อย่างดุดัน
การทำงานของภาครัฐด้วยการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เป็นกลไกของการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ในรูปแบบของ Helicopter Money ทำให้เงินที่แจกจ่ายถูกหมุนเวียนเป็นพายุทางเศรษฐกิจ โดยหากมีการใช้ระบบดังกล่าวในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน ก็อาจเกิดได้ทั้งข้อดีและข้อเสีย
สำหรับข้อดี คือ
1. สามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยสามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการให้เงินเริ่มขับเคลื่อนได้ มุ่งเน้นผู้ค้ารายย่อย เพื่อกระตุ้นให้เกิดรายได้อย่างทั่วถึง ตั้งแต่รากหญ้าจนถึงรายใหญ่
2. ทำให้ประชาชนมีทางเลือกที่มากขึ้นในการใช้จ่าย ทั้งเรื่องการบริโภคสิ่งที่จำเป็นในชีวิต ประจำวัน และทางเลือกเสริมที่ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
3. เริ่มมีการปรับตัวให้คนไทยมีความทันสมัยในการใช้งานของเทคโนโลยีใหม่ ๆ ซึ่งในอนาคตอันใกล้นี้ Blockchain อาจถูกนำมาปรับใช้จริงในการดำรงชีวิตประจำวัน เพื่อความง่ายและสะดวกสบายมากขึ้น
ด้านของข้อเสีย คือ
1. ความยุ่งยากในการใช้งานของกลุ่มคนที่ใช้เทคโนโลยีไม่คล่อง เช่น กลุ่มผู้สูงวัย กลุ่มผู้ที่อยู่ ห่างไกลความเจริญ ความเหลื่อมล้ำที่แก้ปัญหาได้ยากจากตัวบุคคลและสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย
2. หากไม่มีการกำหนดประเภทการใช้งานของประเภทสินค้า ก็มีโอกาสที่เงินจะกระจาย ไปสู่ผู้ค้ารายใหญ่ ทำให้ไม่มีความไหลลื่นทางเศรษฐกิจ
ทั้งหมดคือผลกระทบทั้งดีและไม่ดีที่ต้องเกิดขึ้นในการปรับเปลี่ยนและการเริ่มต้นสิ่งใหม่ เมื่อเจอความชัดเจนของปัญหา เมื่อสรรหาวิธีการ เมื่อมีการวิเคราะห์พิจารณา ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงจะมีสิ่งที่ถูกพัฒนาขึ้นและเกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเดิมเสมอ
หุ้น อสังหาฯ คริปโทฯ เลือกให้ถูก สินทรัพย์ไหนเหมาะกับใคร?
นายซีเค เจิง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟาสต์เวิร์ค เทคโนโลยีส์ จำกัด (Fastwork) นายชัชวาลย์ วัฒนะโชติ นักลงทุนและเจ้าของเพจ Kim Property Live นายมานะ คานิโยว หัวหน้าฝ่ายบริหารงานขายและพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัท เมอร์เคิล แคปปิตอล จำกัด นายธํารงชัย เอกอมรวงศ์ (หยง) นักลงทุนอิสระ ต่างร่วมกันแชร์มุมมองต่อทรัยพ์สินต่าง ๆ โดยในงานมีการถกเถียง กันอย่างสร้างสรรค์ ป้ายยาทรัพย์สินอย่าง หุ้น คริปโทฯ อสังหาฯ ว่าเหมาะกับกลุ่มคนประเภทใด
นายชัชวาลย์ วัฒนะโชติ นักลงทุนและเจ้าของเพจ Kim Property Live เผย “อสังหาฯ เงิน ทองคำ เติบโตทุกปีมากกว่าดัชนีหุ้น สะสมรักษามูลค่าได้ บิทคอยน์ก็เช่นกัน บิทคอยน์ คือทรัพย์สินรูปแบบ ใหม่ที่จะเข้ามาในอนาคต”
นายซีเค เจิง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟาสต์เวิร์ค เทคโนโลยีส์ จำกัด (Fastwork) “บิทคอยน์เป็นสิ่งที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นได้ เป็นสิ่งที่สร้างรายได้ให้กับเรา”
นายมานะ คานิโยว หัวหน้าฝ่ายบริหารงานขายและพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัท เมอร์เคิล แคปปิตอล จำกัด “บิทคอยน์ อสังหาฯ ทองคำ คริปโทเคอร์เรนซี รวมถึงสินทรัพย์อื่น ๆ ควรกระจาย ความเสี่ยงในสัดส่วนที่เหมาะสม แม้สินทรัพย์ใหม่การเปิดใจของคนโลกเก่าอาจทำได้ยาก สินทรัพย์แต่ละ ประเภทก็มีเสน่ห์ของมัน”
นายธํารงชัย เอกอมรวงศ์ (หยง) นักลงทุนอิสระ “ศึกษาให้เข้าใจธรรมชาติของสินทรัพย์ตัวนั้น”
ปัจจุบันโลกของการลงทุนเปิดกว้างมากขึ้น ทำให้มีการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย เช่น หุ้น อสังหาฯ ทองคำ คริปโทเคอเรนซี บิทคอยน์ เป็นต้น ซึ่งสินทรัพย์เหล่านี้ถูกออกแบบให้เป็นทางเลือกในการ ลงทุน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามแผนการลงทุนและการกระจายความเสี่ยงในอนาคตให้กับพอร์ตลงทุนนั้น ๆ
“หุ้น” หากมองถึงการลงทุนในหุ้น ควรมองหาหุ้นที่ดีมีคุณภาพ ถึงจะมีความเสี่ยงค่อนข้างสูง แต่ก็ ควรมีลงทุนไว้บ้าง ในอนาคตหุ้นจะได้รับความนิยมลดลงหรือไม่ คำตอบคือ “ไม่” ถึงแม้ในปัจจุบันมุมมอง ความน่าเชื่อถือของตลาดหลักทรัพย์ของไทยลดน้อยลง ทำให้นักลงทุนมีความกลัวเกิดขึ้น ซึ่งมันเป็นเรื่อง ของความรู้สึกของผู้หาแนวทางลงทุน เพราะถ้าเทียบกับในอาเซียนแล้วหุ้นเอเชียแนวโน้มไม่ได้แย่ ทั้งนี้การถือ หุ้นอาจจะเป็นจุดที่เสี่ยง แต่หากต้องการลงทุนในหุ้นควรเลือกหุ้นน้ำดี และควรศึกษาให้เข้าใจก่อนการลงทุน
“อสังหาริมทรัพย์” ถือเป็นทรัพย์สินในรูปแบบการลงทุนที่น่าสนใจ และตอบโจทย์กับนักลงทุนที่ไม่อยาก ใช้เงินลงทุนที่เยอะ อีกทั้งยังสามารถลงทุนและทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง หากวางแผนการลงทุนไว้อย่างเป็นระบบ
การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มีข้อดี คือ ไม่ต้องใช้เงินส่วนตัวลงทุนมาก สำหรับการลงทุนสามารถขายหรือ ปล่อยเช่าเพื่อให้ได้ส่วนต่างหรือกำไรกลับคืนมาได้ เนื่องจากราคาของอสังหาฯ เพิ่มขึ้นอยู่ตลอด ฉะนั้นการลงทุน ในรูปแบบนี้ก็จะตอบโจทย์สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนน้อย และคาดหวังผลตอบแทนเป็นกำไรกลับคืนมา
“คริปโทเคอร์เรนซี” (Cryptocurrency) หรือสกุลเงินดิจิทัล เช่น Bitcoin หรือ Ethereum อาจจะยังจับ ต้องไม่ได้เหมือนทองคำหรือสินทรัพย์อื่น ๆ ส่วนใหญ่นักลงทุนซื้อเพื่อนำไปขายให้ได้ราคาที่มากขึ้น อีกทั้งยังมี ความผันผวนสูง ส่งผลให้ยังไม่ได้เป็นที่รับรองอย่างเป็นทางการในการเป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนในปัจจุบัน แม้ว่าสินทรัพย์ดิจิทัลจะสร้างโอกาสมากมาย แต่ก็มีข้อจำกัดที่นักลงทุนควรพิจารณาก่อนการลงทุน อีกทั้งยังขึ้น อยู่กับความชอบและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของนักลงทุนอีกด้วย
สุดท้ายแล้วการลงทุนสินทรัพย์ไม่ว่าจะในรูปแบบไหน ควรมีการกระจายความเสี่ยง ควรมีพื้นฐานความรู้ ศึกษาให้เข้าใจธรรมชาติของสินทรัพย์ตัวนั้น และควรมีการวางแผนการลงทุน เลือกที่ตรงและเหมาะกับสไตล์ของ ตัวเอง เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและพร้อมรับมือความเสี่ยงของการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
แนวทางรับมือ Bull Market!! วินัยการเงินคือสำคัญ!!
นายโฉลก สัมพันธารักษ์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Choloke.Com นักลงทุนในตำนาน นายพีรพัฒน์ หาญคงแก้ว ประธานเจ้าหน้าที่แนะนำการลงทุน (CIO) บริษัท คริปโตมายด์ แอดไวเซอรี่ จำกัด และนายกิตติทัศน์ เบญจเจริญพัฒน์ ผู้ก่อตั้ง I learn a lot ร่วมกันเผยวิสัยทัศน์ พร้อมคาดการณ์ถึงแนว โน้มตลาดคริปโทฯ ปี 2567 ว่าจะเป็น Bullrun หรือไม่?
นายโฉลก สัมพันธารักษ์ หรือที่รู้จักกันในนาม “ลุงโฉลก” ได้เน้นย้ำถึงวินัยทางการเงิน (Money Management) พร้อมแนะนำถึงการลงบันทึกบัญชี และการแบ่งพอร์ทการลงทุนอย่างมีวินัย ทั้งนี้ยังได้กล่าว เสริมถึงปี 2567 ที่คาดว่ายังเป็นเพียง Bull ตั้งท้อง และปี 2568 ที่จะยังคงเป็น “กระทิงน้อย” (Baby Bull) ก่อนที่จะถึง Bullrun ของจริง
นายพีรพัฒน์ หาญคงแก้ว ได้แนะนำถึงตัวชี้วัด (Indicator) อย่าง MVRV ที่แสดงถึงมูลค่าตลาด เทียบกับมูลค่าจริงของ Bitcoin ซึ่งหาก MVRV ต่ำกว่า 2 เป็นโอกาสที่ดีในการได้ต้นทุนสินทรัพย์ที่ราคาถูกกว่า นักลงทุนอื่น พร้อมแนะนำแนวทางการลงทุนส่วนตัวว่า “เริ่มที่บิทคอยน์ จบที่บิทคอยน์”
นายกิตติทัศน์ เบญจเจริญพัฒน์ ได้ร่วมแชร์ถึงสภาวะตลาดที่ Bullrun จะมาอีกครั้งหรือไม่ จำเป็น ต้องดูสภาวะและบรรยากาศในตลาดประกอบด้วย โดยนักลงทุนสามารถดูได้จาก NUPL (Net Unrealized Profit & Loss) ที่แสดงถึงสภาวะในตลาดว่าตอนนี้คนในตลาดขาดทุนหรือได้กำไร ซึ่งหาก NUPL ติดลบ นั่นย่อมแสดงว่าคนในตลาดเริ่มขาดทุน เป็นโอกาสที่ดีในการได้ต้นทุนสินทรัพย์ที่ราคาถูกกว่านักลงทุนอื่น ประกอบการตัดสินใจลงทุน