จักรวาลคริปโตมีสิ่งล่อตาล่อใจที่ดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามามากมาย และเช่นเดียวกับที่นักบินอวกาศทุกคนต้องการคำแนะนำเกี่ยวกับจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล นักลงทุนคริปโตกลยุทธ์บางอย่างเอาไว้สำหรับหลีกเลี่ยงหลุมดำแห่งความเสี่ยงเช่นกัน
การจัดการความเสี่ยง (Risk Management) คืออะไร ?
ลองจินตนาการว่าคุณกำลังเตรียมตัวที่จะออกไปท่องเที่ยวไกลๆ คุณจำเป็นจะต้องตรวจสอบรถของคุณ สำรวจเส้นทาง และเตรียมแผนสำรองเอาไว้ใช่ไหม ? เช่นเดียวกัน ในโลกของการลงทุน คุณก็จำเป็นที่จะต้องวางแผนเอาไว้รับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
ตอนนี้ ก่อนที่เราจะลงลึกถึงกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยง เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการวางแผนการจัดการความเสี่ยง 4 ประการกันก่อนคือ
Acceptance : การยอมรับการตัดสินใจที่จะรับความเสี่ยงในการลงทุน แต่ไม่ยอมจ่ายเงินเพื่อหลีกเลี่ยงมัน เนื่องจากการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นนั้นไม่ได้มากมายอะไร ก็เหมือนกับการที่คุณเห็นหลุมบนถนน คุณรู้ว่ามันอยู่ตรงนั้น แต่คุณเลือกที่จะเสี่ยง และขับผ่านมันไป
Transference: มันคือการถ่ายโอนความเสี่ยงของการลงทุนไปยังบุคคลที่สามโดยมีค่าใช้จ่าย เช่นเดียวกับการทำประกันรถ โดยจะมีบริษัทประกันมาทำการซ่อมรถให้กับคุณถ้าหากรถของคุณเสียหาย
Avoidance : ไม่ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง เหมือนการเลือกเส้นทางในการเดินทางที่ปลอดภัยที่สุด
Reduction : ลดผลกระทบของการขาดทุนจากการลงทุน ด้วยการกระจายพอร์ตการลงทุนของคุณ ซึ่งอาจอยู่ในประเภทสินทรัพย์เดียวกัน หรืออาจจะคนละประเภทก็ได้ ทำให้เหมือนกับว่า การเดินทางท่องเที่ยวของคุณมีความหลากหลาย อาจขับรถบ้าง นั่งรถไฟบ้าง และอาจขึ้นเครื่องบิน เพื่อไม่ให้ความพ่ายแพ้หรืออุปสรรคแม้แต่ครั้งเดียวมาทำลายการเดินทางทั้งหมดของคุณ
ทำไมการจัดการความเสี่ยงจึงสำคัญกับการลงทุนในคริปโต ?
ในโลกคริปโต มันทั้งน่าตื่นเต้นและผันผวนเหมือนรถไฟเหาะ เต็มไปด้วยการขึ้นและลงอย่างรวดเร็ว ความผันผวนนี้สามารถเป็นได้ทั้งประโยชน์และโทษ ดังนั้น การเตรียมกลยุทธ์ให้พร้อมจึงเป็นสิ่งสำคัญ เช่นเดียวกับการมีสายรัดนิรภัยบนรถไฟเหาะ
5 เคล็ดลับในการจัดการความเสี่ยง
1.กฏ 1%
กฏ 1% เป็นวิธีง่ายๆ สำหรับการจัดการความเสี่ยงที่ห้ามเสียมากกว่า 1% ของพอร์ตการลงทุนของคุณ สมมุติ คุณมีเงินอยู่ 10,000 ดอลลาร์ และคุณต้องการปฏิบัติตามกฏ 1% นั้นหมายความว่าคุณจะต้องเสียเงินจากการลงทุนไม่เกิน 100 ดอลลาร์
2.มีจุด Stop-Loss และ Take-Profit
จุด Stop-Loss ก็จุดที่คุณจะยอมขายสินทรัพย์ของคุณเพื่อหยุดการขาดทุน และจุด Take-Profit คือจุดที่คุณจะขายเพื่อทำกำไร
ทั้งสองอย่างเป็นสิ่งที่คุณสามารถตั้งค่าเอาไว้ล่วงหน้าได้ ซึ่งมีส่วนช่วยอย่างมากในตลาดคริปโตที่ผันผวนและเปิดตลอด 24 ชั่วโมง อีกทั้งยังช่วยให้คุณมีระเบียบวินัย ยึดมั่นในแผนของตนเอง ไม่ถูกชี้นำด้วยอารมณ์ที่อาจทำให้เกิดการสูญเสียได้
3.กระจายพอร์ตการลงทุนและป้องกันความเสี่ยง
การกระจายพอร์ตการลงทุน (Diversify) และการป้องกันความเสี่ยง (Hedge) เป็นหนึ่งในเครื่องมือยอดนิยมของนักลงทุน การกระจายพอร์ตการลงทุนหมายถึงการกระจายเงินทุนของคุณไปยังสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ไม่ใช่เอาเงินไปลงอยู่ในสินทรัพย์หรือเหรียญคริปโตเพียงเหรียญเดียว
ส่วนการป้องกันความเสี่ยงเป็นวิธีที่ค่อนข้างซับซ้อนเล็กน้อยป้องกันกำไรหรือลดการขาดทุน ตัวอย่างของเครื่องมือที่นักลงทุนชอบใช้กันคือ Futures Markets
4.วางแผนสำหรับการขาย
คุณคงไม่คิดจะถือเหรียญที่คุณซื้อไปจนถึงวันสิ้นโลกใช่ไหม ? ใช่แล้ว ทุกการลงทุนควรมีตอนจบที่ถูกวางแผนเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นการขายทำกำไร หรือการขายเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุน การมีกลยุทธ์กจะทำให้มั่นใจว่าอารมณ์จะไม่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ คุณสามารถตั้งค่า เช่น Limit Order ล่วงหน้าเพื่อทำการขายเหรียญของคุณในจุดที่กำหนดไว้ เพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะไม่ทำอะไรผลีผลามด้วยอารมณ์
5.Do Your Own Research (DYOR)
มันก็เหมือนกับการเดินทาง คงไม่มีใครขึ้นเครื่องบินไปเที่ยวโดยที่ไม่วางแผนล่วงหน้าใช่ไหม เช่นเดียวกัน การลงทุนโดยที่ไม่มีการศึกษาหาความรู้อย่างเพียงพอเป็นเรื่องที่มือใหม่มักจะพลาดกัน ดังนั้นก่อนที่จะเอาเงินไปทำอะไร ควรทำการศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้เสียก่อน
การดำดิ่งสู่จักรวาลคริปโตอันกว้างใหญ่ไพศาลอาจจะดูน่าตื่นเต้น แต่ก็เหมือนกับการผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ทุกครั้ง สิ่งสำคัญคือต้องเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม ไม่ว่าจะเป็นการหลบเลี่ยงหลุมพรางที่อาจเกิดขึ้นหรือเตรียมตัวสำหรับการคว้าโอกาสทอง กลยุทธ์เหล่านี้สามารถเป็นเข็มทิศที่นำไปสู่ความสำเร็จของคุณได้