โดยงานครั้งนี้จัดขึ้นที่สยามพารากอน ชั้น 4 โซน SCBx Next Tech สำหรับทั้งผู้มีประสบการณ์และไม่มีประสบการณ์ในโลกคริปโต เพื่อนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับพื้นฐานเทคโนโลยีบล็อกเชนและคริปโทเคอร์เรนซี และวิธีการจะเริ่มต้นลงทุน พร้อมรับฟังแนวคิดและมุมมองอุตสาหกรรมและการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิตอลจากผู้บริหารบริษัทชั้นนำ พบกับมุมมองของเด็กรุ่นใหม่ว่าทำไมคริปโทเคอร์เรนซีถึงน่าสนใจ พร้อมประสบการณ์จากผู้ที่ประสบความสำเร็จในสายอาชีพตัวเองแต่ก็ยังตัดสินใจเข้ามายังโลกคริปโต
ขอบคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจและเข้าร่วมงาน Next: Crypto First Journey 🚀 งาน Next ครั้งแรกของพวกเรา
ด้วยความตั้งใจของ Traction ร่วมกับ Binance TH Academy และ TFA หวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้เข้าร่วมทุกท่านจะได้รับประโยชน์และความรู้จากการเข้าร่วมงาน
หากมีข้อผิดพลาดประการใด ทางทีมงานขออภัยมา ณ ที่นี้ และจะปรับปรุงในงานครั้งถัดไป
📌เข้ากลุ่ม Telegram https://t.me/+e-pWXQVvL2cxNzhl เพื่อไม่ให้พลาดอีเว้นหน้าของเรา
🔵ดร.Korn Poonsirivong – Chief Strategy Officer (CSO) และ Director ของ BinanceTH Academy ได้ขึ้นพูดให้ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีบล็อกเชน คริปโทเคอร์เรนซีคืออะไร Bitcoin คืออะไร ทำไมราคาแพง และจะเทรดยังไงให้ปลอดภัย
ดร.Korn เริ่มต้นด้วยการบอกว่า บล็อกเชนนั้นมีความปลอดภัยอยู่แล้ว ไม่สามารถแฮ็กได้ แต่ที่คนมักจะโดนแฮ็กนั้นเกิดจากการกดลิงก์แปลก ๆ หรือไปเทรดบนแพลตฟอร์มที่ไม่ได้รับการรับรองจากกลต. และเกิดจาก Human Error ซึ่งวิธีป้องกันก็จะง่าย ๆ คือไม่กดลิงก์แปลก ๆ ที่ไม่น่าเชื่อถือ ซื้อขายบนแพลตฟอร์มที่ได้รับการรับรองจากกลต.เท่านั้น และที่สำคัญที่สุดคือ DYOR
ส่วนที่ Bitcoin หรือคริปโทเคอร์เรนซีต่าง ๆ มีราคานั้นก็เป็นหลักการทั่วไปเหมือนกับภาพเขียนหรือของสะสมบางอย่าง นั่นคือมันมีค่าเพราะมีคนให้ค่า ซึ่งในตอนนั้น อัตราการยอมรับ Bitcoin หรือคริปโทเคอร์เรนซีก็มีมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยปี 2016 มีคนเทรดคริปโทเคอร์เรนซีเพียง 5 ล้านคนเท่านั้น แต่ในปี 2024 มีถึง 1.4 พันล้านคนแล้ว ซึ่งเมื่อมีคนเข้ามาเทรดมากขึ้น แปลว่ามีคนให้ค่ามากขึ้น ดังนั้นสินค้าก็จะมีมูลค่ามากขึ้นตามไปด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น ในตอนนี้คริปโทเคอร์เรนซีอย่าง Bitcoin และ Ethereum มีกองทุน ETF แล้ว ซึ่งแปลว่ารัฐบาลบางประเทศอนุมัติให้ซื้อขายผ่านกองทุนได้แล้ว และก็มีกองทุน บริษัทรวมถึงสถาบันต่าง ๆ เข้ามาซื้อขายกันมาก ทำให้เห็นเลยว่าตอนนี้คริปโทเคอร์เรนซีได้รับการยอมรับในวงกว้างมากขึ้นแล้ว
Bitcoin สามารถราคาขึ้นลงได้สูงถึงปีละ 70% และสามารถทำกำไรได้มากสุดถึงปีละ 90% อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลนั้นแสดงให้เห็นว่า Long Term Investment นั้นสำคัญมาก คริปโทเคอร์เรนซีไม่เหมาะกับการเทรดระยะสั้น ด้วยความที่เราเองเป็นมนุษย์ อารมณ์จะเข้ามามีส่วนอย่างมากในการเทรด ดังนั้นจึงไม่เหมาะกับตลาดคริปโตที่มีความผันผวนสูงมาก ๆ
🔵ใน Session ต่อมา เป็นการเจาะลึกอุตสาหกรรมคริปโทเคอร์เรนซี จากมุมมองผู้บริหารบริษัทคริปโตของไทยโดยคุณ Trakarn – Co-Founder Traction และ Peace Venture คุณ Tanakorn Sanikawatee – General Partner Cleverse Venture คุณ Tanawat Chiewhawan – Founder & CEO TokenUnlocks คุณ Sanjay Popli – Co-Founder และ CEO ของ Cryptomind Group Holdings และ Cryptomind Advisory
▫️คุณ Sanjay พูดถึงอุตสาหกรรมคริปโตในอนาคตว่า ตอนนี้เป็นจุดที่ค่อนข้างดี เพราะเศรษฐกิจในภาพใหญ่นั้นค่อนข้างคลี่คลายไปในทางที่ดีไม่ว่าจะสหรัฐหรือจีน ขณะที่นักลงทุนก็เริ่มให้ความสนใจกับ Bitcoin มากขึ้น เห็นได้จากราคาที่ขึ้นไปถึงระดับ 65,000 ดอลลาร์ อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยเสี่ยงในด้าน Geopolitic รวมถึงสงครามที่อาจเกิดขึ้นในช่วงนี้ และหนึ่งในปัจจัยสำคัญในปีนี้คือการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งถ้าหาก Trump ชนะ คริปโตน่าจะไปได้อีกเยอะเลย แต่ถ้า Kamala ชนะก็อาจจะมีการปรับฐานเล็กน้อย แต่เชื่อว่าในภาพใหญ่นั้นคริปโตจะไปต่อได้
คุณ Sanjay ยังเตือนด้วยว่า ในโลกคริปโตนั้นมีหลาย Sector มาก ๆ ซึ่งที่คนส่วนใหญ่พลาดไปก็คือการพยายามไปตามทุก Sector ซึ่งเป็นไปได้ยาก เราควรเลือกตามคนหรือ Community ให้ถูก แต่ต้องระวังให้ดีเพราะข่าวที่เราได้รับอาจจะมาจากการโดนจ้างให้เชียร์เหรียญนั้น ๆ ก็ได้ ดังนั้นหา Community ในโซเชียลเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดี
คุณ Tanawat เล่าถึงเหตุผลที่มาทำ TokenUnlocks นั้นก็เพื่อช่วยให้นักลงทุนสามารถดูข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเหรียญต่าง ๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจได้ง่ายขึ้น โดย TokenUnlocks จะใช้ข้อมูลจาก Whitepaper, Onchain และเครื่องมือต่าง ๆ มารวมกันเพื่อให้สามารถ Research ข้อมูลพวกนี้ได้ง่ายขึ้น
ซึ่งในมุมมองของคนขายข้อมูลจะเห็นได้เลยว่าหลายฝ่ายต้องการข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น บริษัทใหญ่ ๆ ที่เมื่อก่อนลงทุนแค่ในหุ้นก็เริ่มหาข้อมูลเพื่อดูว่าจะเข้ามาเล่นในตลาดคริปโตหรือไม่ แสดงให้เห็นว่าในภาพรวมนั้นยังมีนักลงทุนที่จะเข้ามาในตลาดคริปโตมากขึ้น
สำหรับคุณ Tanawat นั้นจะไม่ได้ตาม Narrative ไหนเป็นพิเศษ แต่จะใช้ข้อมูล Tokenomics เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ใช้ในการประเมินตอนเลือกเหรียญ ดูว่าเหรียญตัวไหน Undervalue หรือ Overvalue อยู่
คุณ Tanakorn บอกว่า นอกจากการเข้ามาของนักลงทุนสถาบันแล้ว อีกอย่างที่น่าสนใจคือ Mass Adoption เช่น ที่สิงคโปร์สามารถจ่ายค่าแท็กซี่ด้วยคริปโตได้เลย เป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นชัดเจนว่าบล็อกเชนหรือคริปโตช่วยทำให้ทุกอย่างสะดวกปลอดภัยมากขึ้นเพราะลดการพึ่งพาตัวกลางลงไป และเชื่อว่าในอนาคตจะเห็นบล็อกเชนในอะไรหลายอย่างที่ไม่เกี่ยวกับการเงินแต่เกี่ยวกับการใช้ในชีวิตประจำวันมากขึ้น
ส่วนในตอนนี้ คุณ Tanakorn สนใจ BTCFi ซึ่งเป็นการพยายามนำ BTC มาทำให้เกิด Yield ขึ้นมา เป็นเรื่องใหม่ของ BTC หลังจากก่อนหน้านี้ BTC ทำได้แค่ Capital Gain แต่ BTCFi สามารถสร้าง Productivity ให้กับเชน Bitcoin ได้
คุณ Trakarn มองว่าตลาดในภาพรวมจะไปต่อได้ในระยะยาว 5-10 ปี จะมีปัจจัยค่อนข้างเยอะ แม้ตลาดคริปโตจะมีช่วงที่คน Bullish มาก ๆ จนราคาเกิน Fundamental ไปเยอะ แต่หากไม่มีพื้นฐานเลยก็ไม่สามารถ Bullish ได้ ซึ่ง Fundamental ในแต่ละ Cycle จะเป็นการดึงให้คนเก่ง ๆ เข้ามายังโลกคริปโตมากขึ้น ซึ่งเมื่อคนเก่ง ๆ เข้ามา เงินทุนก็จะไหลเข้ามา และเป็นการสร้าง Fundamental หรือโปรเจกต์ใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน นอกจากนี้ คริปโตจะไม่ใช่เรื่องใหม่ของเด็กสมัยนี้อีกแล้ว รวมถึงการที่หน่วยงานต่าง ๆ ยอมรับคริปโตมากขึ้น อีกทั้งความไม่แน่นอนด้าน Geopolitic และเศรษฐกิจในภาพรวมก็เป็นการบังคับให้คนต้องจัดสรรการลงทุนไปในสินทรัพย์ทางเลือกมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทองคำหรือคริปโต
ส่วนปัจจัยในการเลือกเหรียญที่จะลงทุน คุณ Trakarn มองว่าต้องเข้าใจก่อนว่า มีปัจจัยอะไรทำให้เหรียญนั้น ๆ ราคาอยู่ที่ตรงนั้น ซึ่งสำหรับคุณ Trakarn นั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไอเดีย ไม่ว่าจะเป็นด้านเทคโนโลยี, Tokenomics, สามารถดึงคนที่ไม่สนใจมาก่อนเข้ามาได้ไหม การอ่าน/รับข่าวสารเยอะ ๆ จะช่วยได้มาก
🔵เมื่อฟังมุมมองของเหล่าผู้บริหารกันไปแล้ว มาลองฟังมุมมองของเด็กรุ่นใหม่กันบ้างว่าทำไมถึงสนใจเทคโนโลยีบล็อกเชน และอะไรเป็นแรงบันดาลใจให้เข้ามาศึกษาคริปโทเคอร์เรนซี โดยมี Panai Charoensuk จาก Chulalongkorn University Blockchain Society (CUBS) และเป็น Technical Analyst ของเพจ Stocker Day, Nawat Sripramoch จาก BBA Investment Society (BIS) และ Thanawat Sakulrungrojwute จาก KU Blockchain Society มาร่วมแลกเปลี่ยนความเห็นกัน
Thanawat บอกว่าจุดเริ่มต้นคือคลิปสอน Bitcoin สั้น ๆ ของ 9arm แต่ยังแค่ศึกษาอยู่ ก่อนจะเข้ามาลงทุนจริง ๆ ช่วงยุค GameFi
จุดเริ่มต้นของ Nawat ก็คล้ายกัน คือคลิปสอน Bitcoin สั้น ๆ ของ 9arm นั่นเอง แต่ก็เริ่มเข้ามาคริปโตจริง ๆ คือช่วงปี 2020 ที่มีคนชวนไปขุดเหรียญ แล้วก็เริ่มเทรด จากนั้นก็ศึกษาและหาข้อมูลไปเรื่อย ๆ และพบว่า Bitcoin เป็นเทคโนโลยีที่มาแก้ปัญหาใดด้านต่าง ๆ และมีประโยชน์มาก ๆ
ส่วน Panai นั้นเป็นเทรดเดอร์อยู่แล้ว โดยมีประสบการณ์เทรดหลายอย่างก่อนจะมารู้จักคริปโทเคอร์เรนซี ต่อมาก็เริ่มศึกษาเรื่องเทคโนโลยีบล็อกเชนมากขึ้นและอยู่ยาวมาถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เด็กรุ่นใหม่ทุกคนจะสนใจในคริปโตหรือเทคโนโลยีบล็อกเชน เพราะจากประสบการณ์ของ Thanawat นั้นพบว่า คนจะรู้จักคริปโตมากกว่าเทคโนโลยีบล็อกเชน และสนใจเรื่องผลตอบแทนที่ได้จากคริปโตมากกว่า
ด้าน Panai มองว่า ไม่ได้เจาะจงว่าต้องเป็นบล็อกเชนหรือคริปโต แต่เด็กรุ่นใหม่ถูกบังคับให้สนใจเทคโนโลยีใหม่ ๆ อยู่แล้ว เพราะเป็นรุ่นที่เกิดมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ถ้าหากไม่ศึกษาหรือตามไม่ทันก็จะถูกทิ้งได้
ส่วน Nawat มองว่าทำไมถึงต้องสนใจบล็อกเชนดีกว่า เพราะบางอย่างไม่จำเป็นต้องเป็นบล็อกเชนด้วยซ้ำ ในบางกรณีบล็อกเชนจะเป็นอุปสรรคเสียด้วยซ้ำเนื่องจากความล่าช้า หรือถ้าเป็น RWA เนี่ย ถ้าเรามีที่ดินแล้วดันทำ Private Key หาย แปลว่าจะไม่มีใครจับจองที่ดินนั้นได้เลยหรือ?
Panai เสริมว่า ในตอนนี้บล็อกเชนก็ยังมีปัญหาบางอย่างอยู่ ปัจจุบันก็ยังมี Use Case น้อย ส่วนหนึ่งคือปัญหาที่ต้องใช้บล็อกเชนเข้ามาแก้นั้นยังไม่เกิดขึ้น เพราะบล็อกเชนคือการนำข้อมูลไปเก็บ ซึ่งในอนาคตข้อมูลจะมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นบล็อกเชนคือเทคโนโลยีที่จะเข้ามาตอบปัญหาในอนาคตได้ แต่ถ้าเอา ณ ตอนนี้ เทคโนโลยีบล็อกเชนยังดีไม่พอจริง ๆ และบางอย่างก็ Overengineer เกินไปด้วย
Nawat ทิ้งท้ายไว้ว่า เราควรดูให้ดีว่าสิ่ง ๆ นั้นจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนจริง ๆ หรือไม่ หรือเป็นเพียง Buzzword ที่ใส่เข้ามาเท่ ๆ เท่านั้น
🔵และเมื่อฟังจากเด็กรุ่นใหม่ที่ยังเป็นนักศึกษาอยู่ ก็ต้องฟังจากกลุ่มที่ทำงานแล้วด้วย โดยได้คุณ Nitchan Piromsawat – Chief Commercial Officer (CCO) Soberin คุณหมอ Thampon Sukhasem – Founder HybridDAO และคุณหมอ Navaporn Nalita – Founder & CEO CCC Academy และ Eidy เข้ามาร่วมพูดคุยในฐานะคนที่ประสบความสำเร็จในอาชีพของตัวเองแต่ได้เปลี่ยนมายังคริปโต
คุณ Nitchan เคยทำงานอยู่ปตท.มา 10 ปี โดยทำงานด้าน Renewable Energy ด้าน Climate Tech แล้วรู้สึกอิ่มตัวเลยออกมาหาอะไรสนุก ๆ ทำ ซึ่งเลือกคริปโตเพราะมองว่าจะเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในอีก 20 ปีข้างหน้า พร้อมกับมองว่าคนไทยในวงการคริปโตนั้นเก่ง เป็นระดับหัวกะทิ มีความทะเยอทะยาน สามารถก้าวไประดับโลกได้ แม้จะยังมองว่าคริปโตยังเสี่ยงมากอยู่ก็ตาม
คุณ Nitchan มองว่าคนที่เพิ่งทำงาน คนส่วนใหญ่หรือแม้แต่ตัวเขาเอง มองว่าคริปโตเป็นโอกาสทำเงินที่ดีกว่าหุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์ ซึ่งก็ไม่เสมอไป แต่สิ่งที่สำคัญในมุมมองของคุณ Nitchan ก็คือ การจะลงทุนไม่ว่าอะไรก็ตาม ไม่สำคัญเท่ากับการหารายได้ที่มาอย่างสม่ำเสมอ
คุณ Nitchan ฝากไว้ว่า การจะเป็นนักลงทุนที่มีประสิทธิภาพและมีความสุขกับการลงทุนได้ควรมี 3 สิ่ง ก็คือ ความรู้ เงิน และใจ หรือความกล้าและวินัยในการลงทุน และอย่าลืมพิจารณาเรื่องการยอมรับความเสี่ยงของตัวเองให้ดี
คุณหมอ Thampon ปัจจุบันยังเป็นหมอใช้ทุนอยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาอยู่ โดยเคยลงทุนในหุ้นอยู่แล้วก่อนจะเข้ามาลงทุนในคริปโต และเริ่มศึกษาหาข้อมูล ได้มีการสร้าง Community ขึ้นมาเพื่อให้ความรู้ในเชิงนี้ลึก เช่น วิเคราะห์ Onchain Data ต่าง ๆ
คุณหมอ Thampon บอกว่า สองสิ่งที่พนักงานประจำจะมีน้อยกว่าคนที่เป็น Full time คริปโตก็คือ เวลากับประสบการณ์ ซึ่งเป็นสองสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ในโลกคริปโต และมักจะเข้ามาด้วยมุมมองที่ผิด นั่นคือคิดว่าคริปโตจะช่วยให้รวยได้เร็วกว่าตลาดหุ้น ที่จริงแล้วถ้าเราจะเข้ามาลงทุนในคริปโตเราควรจะเข้ามาด้วยความเชื่อว่ามันมีอนาคตจริง ๆ มันสามารถเติบโตได้อีก เชื่อว่าอนาคตจะมี Mass Adoption ได้ เพื่อที่เราจะมองภาพอนาคตของสินทรัพย์นี้ในอีก 5-10 ปีได้ และเราต้องมองว่าคริปโตเป็นการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนเพื่อรับมือกับเงินเฟ้อในปัจจุบัน ห้ามคิดว่าเข้ามาแล้วต้องรวยเร็ว ต้องได้ 10x
ส่วนคนที่อยากลงทุนในคริปโต ถ้าเป็นมือใหม่ไม่มีเวลาตามตลาด ไม่มีเวลาดูกราฟ ควรจะเริ่มด้วยการ DCA Bitcoin หรือ Ethereum เพราะการมองว่าเข้ามาคริปโตต้องภายในปีนี้หรือ Cycle นี้ เป็นมุมมองที่ไม่ถูกต้อง และได้ย้ำด้วยว่า นี่ไม่ใช่คำแนะนำในการลงทุน ในคริปโตนั้นไม่ว่าจะลงไปเท่าไหร่ก็มีโอกาสเป็น 0 ได้ทั้งนั้น
ส่วนคุณหมอ Navaporn เดิมเป็นศัลยแพทย์ระบบประสาทและอาจารย์แพทย์ แต่พบ Passion ของตัวเองในคริปโตเลยลาออกจากการเป็นหมอและเข้ามาลุยด้านคริปโตเต็มตัว
คุณหมอ Navaporn มองว่าการลงทุนไม่ใช่การสู้กับตลาดหรือแข่งขันกับคนอื่น แต่เป็นการสู้กับตัวเอง เพราะแต่ละคนมีข้อจำกัดไม่เหมือนกัน ดังนั้นเราจะไปเลียนแบบคนอื่นไม่ได้ เราต้องปรับหาวิธีที่เหมาะกับตัวเอง ขณะเดียวกันตลาดคริปโตไม่เหมือนตลาดหุ้น ไม่มีวันหยุด และต้องแข่งกับคนทั่วโลกทุกเพศทุกวัย สิ่งที่สำคัญคือเราต้องจัดการเรื่องการเงินของตัวเองให้ดีก่อน
ในการลงทุนทั่วไปอาจแบ่งได้เป็นเทรดเดอร์กับการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (VI) ซึ่งถ้าเป็นในคริปโต เราต้องมาดูให้ดีว่าคุณค่าของโปรเจกต์นั้นคืออะไร ได้ผ่านการทดสอบออกมาเป็น Productivity หรือยัง หรือแค่ปล่อยเหรียญออกมาเพื่อให้เราลงทุนในช่วงแรกเฉย ๆ
คุณหมอ Thampon เสริมว่า ตอนนี้คริปโตพัฒนาไปเป็น Product ที่มีรายได้ สามารถประเมิน P/E ได้เลย ทำให้สามารถใช้หลักการ VI ของหุ้นมาประยุกต์กับคริปโตได้ แต่อาจจะไม่ครอบคลุมทั้งหมด
🔵ใน Session สุดท้าย ได้คุณ Chanon Jaratsuttikul – CEO & Co-Founder FWX มาสอนเรื่องการทำ Yield Farming ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีหาเงินในโลกคริปโต
Yield Farming แบ่งออกได้หลายอย่าง เช่นการฟาร์มบน AMM Dex แพลตฟอร์ม ที่จะมี Token Pool 2 อัน ซึ่งเราจะใส่ Liquidity เข้าไปทั้งสองด้าน ซึ่งทาง Dex จะมีรายได้จาก Trading Fee ซึ่งก็จะนำรายได้ตรงส่วนนั้นมาให้กับคนที่ใส่เงินเข้าไปใน Liquidity โดยจะได้เป็น LP Token ซึ่งสามารถนำไปฟาร์มต่อแลกกับ Governance Token จากแพลตฟอร์มที่เราไปฟาร์มต่อด้วย แต่ปัจจุบันโมเดลนี้ไม่ค่อยดี เพราะพอคนได้ Governance Token มาก็จะเทขายในตลาดจนราคาร่วง
ถัดมาเป็น Lending Protocal ซึ่งจะคล้ายกับธนาคาร คือเอาเงินที่มีคนฝากไปปล่อยกู้ แล้วเอาดอกเบี้ยที่ได้จากการกู้มาจ่ายเป็น Yield ให้ผู้ที่ฝากไว้ โมเดลนี้กำลังเป็นที่นิยม
ต่อมาก็เป็นการ Staking คือการ Stake เพื่อรับ Incentive จากแพลตฟอร์มที่เราไป Stake ไว้ และสุดท้ายคือการ Restaking ซึ่งเป็นการเอาเหรียญที่ Stake ไปทำการ Stake ต่อเพื่อรับ Yield อีกขั้น
งานนี้คงจะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีการสนับสนุนจาก Partner ทุกท่าน ที่ให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนงานของเราอย่างเต็มที่
.
ขอบคุณสำหรับผู้สนันสนุนทุกท่าน CCC Academy, ลุงชูเต่า นั่งรถบางคัน, Block Mountain และ Six Network มา ณ ที่นี้
📸รูปภาพสวย ๆ ภายในงานสามารถดาวโหลดได้จาก http://bit.ly/3XSoY7D