KEY TAKEAWAYS
- ปัจจุบันตลาดคริปโตตกอยู่ในตลาดหมี ราคา Bitcoin ดิ่ง จนยอดค้นหาคำว่า ‘Bitcoin is Dead’ พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ แต่ในประวัติศาสตร์คริปโต Bitcoin ราคาดิ่งไปแล้วหลายครั้ง โดยมี 4 ครั้งหลักๆ ที่สำคัญ
- Bitcoin ราคาดิ่งครั้งแรกเมื่อมิถุนายน 2011 เกิดจากแพลตฟอร์มซื้อขาย Bitcoin ยุคบุกเบิกอย่าง Mt. Gox ถูกแฮ็ก
- ครั้งที่ 2 สาเหตุเกิดจากประเทศมหาอำนาจอย่างจีนประกาศแบน Bitcoin
- ครั้งที่ 3 เกิดจากหลายสาเหตุ เช่นการที่ Facebook และ Google ประกาศแบนไม่ให้โฆษณาและโปรโมท ICO รวมถึงการที่ประเทศต่างๆ มีกฎระเบียบควบคุมคริปโต
- ครั้งที่ 4 คือเหตุการณ์ในปัจจุบัน การล่มสลายของ TerraUSD และเหล่าสถาบันที่ลงทุนในคริปโต รวมไปถึงสภาพเศรษฐกิจโลกโดยรวมนำทางคริปโตเข้าสู่ตลาดหมี
ปัจจุบันราคา Bitcoin (BTC) และคริปโตเคอร์เรนซีสกุลอื่นๆ ในตลาดหมีดิ่งลงสุดๆ จนสร้างบรรยากาศหนาวเหน็บให้กับนักลงทุนไปตามๆ กัน ทำให้สถานะของคริปโตในสายตานักลงทุนเกิดความสั่นคลอนและลดความน่าเชื่อถือลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงไม่น่าแปลกใจที่ใครหลายคนจะเกิดข้อสงสัยกับอนาคตของ bitcoin หลักฐานที่ยืนยันข้อเท็จจริงนี้ก็คือยอดการค้นหา ‘bitcoin is dead’ หรือ บิทคอยน์ตายแล้ว ใน Google พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์
แต่หากจะพูดกันตามความจริง Bitcoin is dead เป็นวลีที่ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก แต่มันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในเส้นทางประวัติศาสตร์ของ bitcoin นับตั้งแต่มันปรากฏตัวขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2009 ทุกครั้งที่ราคา bitcoin ดิ่งลงต่ำ นักลงทุนก็มักสงสัยในอนาคตของมันอยู่ร่ำไป วันนี้เลยอยากจะพาไปย้อนดู 4 เหตุการณ์สำคัญที่ราคา bitcoin ดิ่งในประวัติศาสตร์
มิถุนายน 2011 ราคาดิ่ง -99%
จาก 32$ สู่ 0.01$
ใช้เวลา 2 ปีในการกลับมา
ในช่วงนั้นตลาดซื้อขายคริปโตหลักคือ Mt. Gox และยังนับว่าเป็นแพลตฟอร์มยุคบุกเบิกในวงการคริปโตช่วงครึ่งปีแรกราคาของ bitcoin พุ่งสูงขึ้นจากราคา BTC ละ 2 เหรียญ ไปเป็น 32 เหรียญ แต่เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2011 Mt. Gox ก็ออกมายอมรับว่ามีบัญชีในแพลตฟอร์มกว่าร้อยบัญชีถูกแฮ็ก และแฮ็กเกอร์ขโมย bitcoin ไปได้เป็นมูลค่าหลายล้านดอลล่าร์ ทำให้นักลงทุนต่างกังวล และภายในวันเดียวนั้นราคา bitcoin ก็ลดลงกว่า 99.9% เหลือเพียง 1 เพนนีเท่านั้น เหตุการณ์ครั้งนี้นับว่าเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ bitcoin และกว่าที่ราคาของ bitcoin จะกลับมาถึง 32 เหรียญอีกครั้งได้ ก็ต้องรอถึงปี 2013 เลยทีเดียว
ธันวาคม 2013 ราคาดิ่ง -85%
จาก 1,151$ สู่ 170$
ใช้เวลา 3 ปีในการกลับมา
ในช่วงประมาณเดือนพฤศจิกายน 2013 bitcoin ซื้อขายกันอยู่ที่ราคาประมาณ 200 เหรียญนิดๆ จนกระทั่งวันที่ 3 ธันวาคม 2013 ราคาของ bitcoin ก็พุ่งสูงถึง 1,151.17 เหรียญ เป็นราคา All time high (สูงสุดตลอดกาล) ในขณะนั้น แต่อนาคตของ bitcoin ที่กำลังรุ่งโรจน์ก็เป็นอันต้องหยุดชะงักอีกครั้งเมื่อรัฐบาลจีนประกาศแบนคริปโตเคอร์เรนซี โดยไม่ให้สถาบันการเงินต่างๆ ยุ่งเกี่ยวกับ bitcoin ราคาของ bitcoin จึงร่วงลงกว่าครึ่งในช่วงกลางเดือนธันวาคมนั้นเอง
และหลังจากนั้นราคาของ bitcoin ก็ร่วงลงอย่างต่อเนื่อง โดยเดือนเมษายน 2014 ลดลงไปแตะระดับ 360 เหรียญ เดือนมกราคม 2015 ราคาลดลงไปทำจุดต่ำสุดแถวๆ 170 เหรียญ ผู้คนขาดความเชื่อมั่นต่อ bitcoin อย่างมาก จนกระทั่งมันค่อยๆ มีแนวโน้มดีขึ้นและราคาสามารถกลับไปแตะที่ราคา 1,154 เหรียญ ต่อ bitcoin ได้ในเดือนมกราคม 2017
ธันวาคม 2017 ราคาดิ่ง -83%
จาก 19,497$ สู่ 3,236$
ใช้เวลา 3 ปีในการกลับมา
ปี 2017 เป็นอีกหนึ่งปีที่สำคัญในประวัติศาสตร์ bitcoin ประการแรกคือราคาของมันพุ่งสูงขึ้นถึง 19,497 เหรียญในวันที่ 16 ธันวาคม ซึ่งเป็นราคา All time high ณ ตอนนั้น แต่แน่นอนว่าอย่างที่เราทราบกันดีว่าคริปโตเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นมาคู่กับความผันผวนเสมอ เพราะหลังจากนั้นเพียงหกวันราคาของ bitcoin ก็ตกลงมาที่ 13,831 เหรียญ ลดลงกว่า 29%
ธันวาคม 2017 ตลาดเดินหน้าเข้าสู่ Crypto Winter อย่างเต็มตัว สถานการณ์ของ bitcoin ยังไม่มีวีแววว่าจะดีขึ้นในเร็ววัน ราคาของ bitcoin วิ่งต่ำลงไปถึง 7,000 เหรียญในเดือนกุมภาพันธ์ปีถัดมา หลังจากนั้นตลาดก็อยู่ในช่วง Sideway ประมาณ 9 เดือน ในกรอบราคาประมาณ 6,000 – 10,000 เหรียญ จนกระทั่งถึงเดือนธันวาคม 2018 ราคาของ bitcoin ก็ตกลงไปทำจุดต่ำสุดที่ 3,236 เหรียญ ซึ่งเป็นการลดลงกว่า 83% จากเดือนธันวาคม 2017 ถึง เดือนธันวาคม 2018
โดยในช่วงปี 2017-2018 นั้นมีปัจจัยด้านลบอย่าง การแฮ็กแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโต Coincheck ที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นในเดือนมกราคม 2018 หลังจากนั้นเดือนมีนาคม – มิถุนายน 2018 บริษัทด้านเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Facebook และ Google ต่างก็ออกมาแบนไม่ให้โฆษณา แน่นอนว่ารวมไปถึงการห้ามโปรโมท ICO (initial coin offerings) บนแพลตฟอร์มของพวกเขาด้วย
นอกจากนี้การพยายามควบคุมคริปโตจากรัฐบาลในประเทศต่างๆ เช่น สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกาที่ปฏิเสธการสร้างแอปพลิเคชันซื้อขายคริปโตก็ส่งผลต่อตลาดเช่นกัน และอีกปัจจัยหนึ่งก็คือการปรากฏตัวของ Ethereum (ETH) ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี Smart Contract ทำให้เกิดการระดมทุนรูปแบบใหม่อย่าง ICO และดูเหมือนการที่ทุกคนตื่นเต้นกับมันอย่างมากจนให้มูลค่ามันมากกว่าที่ควรจะเป็นในช่วงนั้น ก็ส่งผลทำให้เกิดฟองสบู่ ICO และแน่นอนว่าเมื่อฟองสบู่แตกก็ลากทั้งตลาดคริปโตลงไปด้วยเช่นกัน
หลังจากไม่นานทั้งโลกก็ได้เผชิญกับวิกฤตโรคระบาดครั้งใหญ่อย่าง โควิด-19 และการล็อกดาวน์ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกหยุดชะงัก ตลาดหุ้นมีการปรับตัวอย่างหนัก เนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลในสินทรัพย์เสี่ยง แน่นอนว่าโดยเฉพาะ bitcoin ทำให้ราคากลับลงไปที่ 4,970 เหรียญ ในเดือนธันวาคม 2020 หลังจากก่อนหน้านี้ที่สามารถไต่ระดับขึ้นมาอยู่ที่ 13,016 เหรียญได้ในช่วงกลางปี 2019 และหลังจากนั้น bitcoin ก็สามารถทะลุ All time high เดิมได้ในวันที่ 30 เดือนพฤศจิกายน ปี 2020 ที่ราคา 19,625 เหรียญต่อ BTC
พฤศจิกายน 2021 ราคาดิ่ง -72.57%
จาก 67,566$ สู่ 18,535$
เวลาในการกลับมายังไม่แน่ชัด
หลังจากนั้นธนาคารกลางสหรัฐฯ (The Federal Reserve: FED) มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทำให้ในไม่ช้าเศรษฐกิจก็กลับมาคึกคักอีกครั้ง และเม็ดเงินก็ไหลกลับเข้าไปยังตลาดคริปโต บวกกับการเข้ามามีส่วนร่วมของบริษัทใหญ่ๆ อย่าง MicroStrategy และ Tesla ที่ได้วาง bitcoin ไว้ในงบดุล ส่งผลให้ผู้คนเริ่มจับตา bitcoin มากขึ้น บวกกับสภาวะตลาดโดยรวมที่ค่อนข้างสดใส จึงดันให้ราคา bitcoin พุ่งขึ้นถึง 67,566 เหรียญ ต่อ BTC ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2021 โดยมูลค่าตลาดรวมของ bitcoin ณ วันนั้นสูงถึง 1.27 ล้านล้านเหรียญ (ถ้านึกไม่ออกว่ามูลค่าตลาดของ bitcoin ใหญ่แค่ไหน ให้ลองนึกถึง GDP ของประเทศไทยในปีเดียวกันนี้ ที่มีมูลค่า 513,170 ล้านเหรียญ นั่นหมายถึงมูลค่าตลาดของ Bitcoin มากกว่า GDP ของประเทศไทยถึง 2.47 เท่า : ข้อมูลจาก IMF)
ตลอดช่วงระยะเวลาที่ Bitcoin อยู่ในสภาวะตลาดกระทิงในช่วงปี 2021 ประเด็นเรื่องของ Bitcoin, Crypto Blockchain รวมไปถึง NFT ถือได้ว่าเป็น Talk of the town คือ ทุกคนพูดถึง
ด้วยสภาวะตลาดกระทิงที่ยาวนาน มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่มีวันจบ เช่นเดียวกับงานเลี้ยงที่ต้องมีวันเลิกรา ปัจจัยที่เป็นข่าวด้านลบอย่างเรื่องที่เราคุ้นเคยนั้นก็กลับมาอีกครั้ง โดยจีนออกมาประกาศแบน bitcoin อีกครั้ง โดยครั้งนี้ได้ประกาศแบนการขุดเหมืองภายในประเทศอย่างเด็ดขาด นักขุดจำนวนมากหนีออกไปยังหลายประเทศ รวมถึง สหรัฐฯ และคาซัคสถานที่มีพรมแดนติดกับจีน
และเหตุการณ์ถัดมาก็ใหญ่ไม่แพ้กัน ซึ่งก็คือการล่มสลายของ Terra ที่มี Stablecoin ที่ยึดโยงกันในชื่อ TerraUSD โดยในช่วงวันที่ 4 เมษายน ซึ่งเป็นจุดที่พีคที่สุดของ Terra นั้น Luna ซึ่งเป็น Native Token (โทเค็นหลักบนเครือข่าย) ของ Terra มีมูลค่าตลาด หรือ Marketcap สูงถึง 4.10 หมื่นล้านดอลลาร์ ติดอันดับ 9 ของเหรียญที่มูลค่าสูงที่สุดในโลก และ Stablecoin TerraUSD ก็มีมูลค่าตลาดสูงถึง 1.87 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นอันดับ 3 ของ Stablecoin ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกรองจาก Tether (USDT) และ USD Coin (USDC)
ซึ่งโดยปกติแล้วโทเค็นที่ได้ชื่อว่า Stablecoin นั้นจะต้องมีมูลค่าที่คงที่ตามสินทรัพย์ที่อ้างอิงในกรณีของ TerraUSD 1 โทเค็น ต้องมีมูลค่าเท่ากับ 1 เหรียญสหรัฐฯ
แต่เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อ TerraUSD สูญเสียมูลค่าไม่สามารถที่จะคงมูลค่าไว้ได้ ทำให้เกิดความตื่นตระหนกอย่างใหญ่หลวงต่อตลาด นักลงทุนเทขายเหรียญที่ถืออยู่และเกิดผลกระทบต่อไปแบบโดมิโน่
ตามมาด้วยการล่มสลายของเหล่าผู้เล่นยักษ์ใหญ่อย่าง Three Arrow Capital, Celsius และ Voyager ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งอุตสาหกรรม
ปัจจุบัน (ตุลาคม 2022) อุตสาหกรรมคริปโตยังคงตกอยู่ในตลาดหมีและก็สร้างบรรยากาศอันหนาวเหน็บให้นักลงทุน bitcoin รวมถึงเหรียญสกุลอื่นๆ ก็มีสถานการณ์ที่ไม่ดีนัก แต่หากจะมองตามความเป็นจริงมันก็ไม่ได้แย่เท่าเหตุการณ์เมื่อเดือนมิถุนายน 2011 หรือธันวาคม 2017 ซึ่งแม้จะแย่ขนาดนั้นแต่มันก็กลับขึ้นมาได้อีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตามไม่มีใครสามารถยืนยันได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า bitcoin จะกลับมาเมื่อไหร่
References : Finance.yahoo, Decrypt.co, Cointelegraph, Statista