KEY TAKEAWAYS
- ปีนี้มีการเทขายตราสารหนี้ 15% นับว่าเป็นการเทขายครั้งใหญ่นับจากปี 1990
- แต่เมื่อตราสารหนี้มีผลตอบแทนเพิ่มขึ้น นักลงทุนก็เข้ามาซื้อเพิ่มมากขึ้น โดยพบว่าเป็นยอดที่สูงที่สุดนับจากปี 2008
- หนึ่งในปัจจัยนั่นเพราะมีการคาดการณ์ว่าปีหน้าจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ดังนั้นนักลงทุนจึงมองหาสินทรัพย์เพื่อถ่วงพอร์ตกับสินทรัพย์เสี่ยงประเภทอื่นๆ และตราสารหนี้ก็ทำผลงานได้ดีในช่วงที่เกิดภาวะถดถอย
ในปีนี้ถือว่าเป็นการเทขายพันธบัตรครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ โดยถูกเทขายไปประมาณ 15% นับว่าเป็นปีที่เทขายสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1990 เนื่องมาจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นทำให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น
แต่ตอนนี้อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ได้เพิ่มขึ้น โดยดัชนี global aggregate index ของ Bloomberg ชี้ให้เห็นว่าผลตอบแทนของตราสารหนี้เพิ่มขึ้น 4% ในเดือนตุลาคม เพิ่มขึ้นจาก 1.3% เมื่อต้นปี และเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2008
ผลตอบแทนนี้จึงดึงดูดนักลงทุนกลับมายังตลาดตราสารหนี้ โดยผู้จัดการกองทุนต่างๆ ให้ความสนใจในตราสารหนี้มากกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วิกฤตการเงินปี 2008
Bank of America ได้สำรวจรายเดือนในเดือนธันวาคมของผู้จัดการกองทุนที่มีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการรวมกันมากกว่า 8 แสนล้านดอลลาร์ พบว่าได้ลงทุนในตราสารหนี้เยอะมากเมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่นๆ ในพอร์ตฟอลิโอ ผู้จัดการกองทุนบางส่วนมองว่าตราสารหนี้เป็นตัวถ่วงพอร์ตให้กับสินทรัพย์เสี่ยงประเภทอื่นๆ เมื่อหุ้นร่วง
กลุ่มตราสารหนี้อย่าง Pimco ได้กล่าวในเดือนนี้ว่า ตอนนี้นักลงทุนเข้ามาถือตราสารหนี้เยอะมากในรอบหลายปี ส่วนหนึ่งนั่นเพราะในอดีตแม้เศรษฐกิจจะถดถอยแต่ตราสารหนี้ก็ยังให้ตอบแทนที่ดี
ทั้งนี้ผลสำรวจในเดือนนี้ของนักเศรษฐศาสตร์จาก Initiative on Global Markets ที่ University of Chicago Booth School of Business ร่วมกับ Financial Times พบว่า 85 เปอร์เซ็นต์ของผู้เข้าร่วมคาดว่าสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีหน้า ส่วนผลกระทบจากราพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นในยุโรปก็จะทำให้ภาวะเศรษฐกิจถดถอยหนักขึ้นไปอีก
เจฟฟรี่ จอห์นสัน หัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์ตราสารหนี้ของ Vanguard กล่าวว่า “เราได้ยินมาเยอะมากว่า ‘’ ‘ตราสารหนี้กลับมาแล้ว’ แต่สำหรับเรามองว่า ‘ตราสารหนี้นั้นดีกว่า’”
Reference: Financial Times