KEY TAKEAWAYS
- Mr. Market เสนอขายราคาสินค้าโดยอิงตามอารมณ์ตลาดล้วนๆ ไม่อิงตามมูลค่าสินทรัพย์จริงๆ หากตลาดถึงจุดต่ำสุด ไม่มีใครสนใจคริปโตอีกต่อไป นายตลาดจะเสนอขายเหรียญในราคาที่ถูกมาก ต่อให้เหรียญนั้นมีพื้นฐานที่แกร่งมากก็ตาม
- ราคาคริปโตได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโดยรวมอยู่แล้ว ดังนั้นต้องหมั่นติดตามสภาวะเศรษฐกิจและนโยบายจากธนาคารกลางของประเทศต่างๆ
- ราคาคริปโตมักจะมีความสัมพันธ์กับสินทรัพย์ประเภทอื่นด้วย การติดตามราคาสินทรัพย์ประเภทอื่น ก็สามารถทำนายราคาของคริปโตได้ด้วย
- ไม่มีใครสามารถซื้อถูกขายแพงได้เสมอ ต้องกล้าที่จะเสี่ยงโดยตั้งอยู่บนการพิจารณาพื้นฐานอื่นๆ เพราะหากเราไม่ Take Action ใดๆ เลย นั่นก็คือความเสี่ยงไม่แพ้กัน เหมือนกับที่ Mellody Hobson เคยบอกไว้ว่า “ความเสี่ยงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือไม่รับความเสี่ยงเลย”
นักลงทุนทุกคนอยากซื้อตอนที่ราคาต่ำที่สุด เพื่อที่จะสามารถทำกำไรได้มากๆ แต่ความเป็นจริงก็ คือ ไม่มีใครที่รู้จุดต่ำสุดที่แน่นอนของตลาด สิ่งที่พอทำได้คือการคาดการณ์จากปัจจัยต่างๆ และนี่ คือ 5 ปัจจัยที่คุณอาจสามารถใช้คาดการณ์ได้ว่าตลาดใกล้ถึงจุดต่ำสุดแล้วหรือยัง
นายตลาด หรือ Mr. Market เสนอของถูกแบบไร้เหตุผล :
นายตลาด หรือ Mr. Market เป็นคำที่ถูกสร้างโดยนักลงทุนระดับตำนานอย่าง Benjamin Graham ที่อิงกับอารมณ์เป็นหลัก โดยจะไม่ให้น้ำหนักกับเหตุผลเท่าไหร่หนัก หรือไม่ให้เลย
Mr. Market ยังคงเป็นจริงเสมอแม้ว่าจะผ่านมากว่า 70 ปี สิ่งนี้ก็ยังคงเป็นจริงในโลกของการลงทุนเสมอ
โดยนายตลาดหรือ Mr. Market นั้น มีแนวโน้มที่จะเสนอขายสินทรัพย์ในราคาที่ถูกมากๆ ถ้าหากว่าเขาอารมณ์ไม่ดี และมีแนวโน้มที่จะขายสินทรัพย์ในราคาที่แพงมากๆ ถ้าเขาอารมณ์ดี โดยไม่อิงกับมูลค่าสินทรัพย์จริงๆ ว่าราคาควรจะเป็นเท่าไหร่
ในโลกคริปโต เราได้เห็นเหรียญ Scam ที่ซื้อขายกันแพงมากๆ ในช่วงตลาด Bull Run โดยที่ทุกคนพร้อมใจกันซื้อและไล่ราคากันไปเรื่อยๆ
ในขณะที่ถ้าเป็นช่วงแย่ๆ ในช่วงที่ทุกคนต่างขยาดไม่มีใครอยากที่จะพูดถึงคริปโตฯ อีกต่อไป ทุกสื่อพูดถึงเรื่องนี้น้อยลง ตัวเลข Traffic เว็บเทรดต่างๆ ลดลง Scam น้อยลง เหรียญเกิดใหม่น้อยลง คนรอบตัวที่เคยลงทุนคริปโต หรือเคยซื้อต่างพากันหนีหาย
Mr. Market ก็จะเสนอขายคริปโตให้เราในราคาที่ถูกมากๆ แม้ว่าโปรเจกต์นั้นมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างมากในวันข้างหน้าก็ตาม
สภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และนโยบายเศรษฐกิจ :
การดูปัจจัยพื้นฐานของโปรเจกต์เป็นเรื่องที่ดี แต่การดูแต่ปัจจัยพื้นฐานอย่างเดียวจนมองข้ามปัจจัยที่เป็นภาพใหญ่อย่างสภาวะเศรษฐกิจโดยรวม หรือนโยบายทางการเงินว่าช่วงนี้ธนาคารกลางกำลังทำอะไร เช่น ชะลอตัว ผลักดัน หรือสู้กับเงินเฟ้อ อาจจะทำให้เราพลาดบางอย่างไปได้
เพราะแม้ว่าเราจะได้ซื้อเหรียญที่ดี โปรเจกต์ที่ยอดเยี่ยม แต่ถ้าเราซื้อแพงเกินไป หรือไม่ถูกจังหวะนั้นหมายความว่าโอกาสในการทำกำไรของเราก็จะน้อยลง
สินทรัพย์ประเภทอื่นๆ :
ราคาสินทรัพย์บางอย่าง มักจะแสดงความสัมพันธ์กัน เช่น มีการขึ้นและลงไปพร้อมกัน สวนทางกัน หรือตามกัน โดยเฉพาะในตลาดคริปโตเองที่วิ่งตามข่าวแทบจะทุกอย่าง เช่น ถ้าเราเห็นแนวโน้มที่สดใสของผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนใน nasdaq (กลุ่มหุ้นเทค) ก็อาจจะต้องลองสังเกตดูว่าตลาดคริปโตเป็นอย่างไร สัมพันธ์กันหรือไม่
ข่าวร้ายครั้งใหญ่ :
เมื่อเกิดวิกฤต หรือ ตลาดแย่เราจะเริ่มเห็นบาดแผลที่ถูกปกปิดไว้ หรือเห็นสิ่งที่เรามองข้ามไปในช่วงตลาดขาขึ้นที่ยาวนาน เช่น การล่มสลายของเหล่าสถาบัน, FTX, เหรียญต่างๆ ที่มีโมเดลแบบ Ponzi ที่ชัดเจนเกินไป หรือ Scam รวมไปถึงเราจะได้เห็นข่าว FUD เยอะมากขึ้นเรื่อยๆ
เพราะในช่วงที่ตลาดดีไม่มีใครอยากที่จะสืบหาปัญหา ทุกคนมองแค่ว่ามันจะไปต่อ แต่เมื่อตลาดมีปัญหาผู้คนจะเริ่มหันกลับมามองและหาว่าใครคือต้นตอ
มีโอกาสที่จะเกิดวิกฤตในอนาคตอันใกล้หรือไม่ :
คริปโตยังไม่เคยเจอกับ Recession หรือ สภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ถ้าเศรษฐกิจโลกเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจถดถอย หรือ recession ซึ่งมีคนเก่งๆ ในแวดวงธุรกิจออกมาพูดถึงความเสี่ยงในการที่เศรษฐกิจโลกจะมุ่งหน้าเข้าสู่ recession ซึ่งอาจจะทำให้เราเข้าสู่ตลาดหมีที่ซึมยาว กว่าที่จะฟื้นตัว
แต่หนึ่งสิ่งที่ค่อนข้างน่าสนใจมากก็ คือ ตลาดคริปโต นั้นเคยผ่านวิกฤตจริงๆ มาแค่เพียงหนึ่งครั้ง และเป็นครั้งที่ค่อนข้างสั้นนั่นคือช่วงโควิด แต่ช่วงนั้นรัฐบาลทั่วโลกอัดฉีดเงินหรือ QE เข้ามาในระบบจนทำให้ตลาดกลับตัวอย่างรวดเร็ว เราได้เห็นตลาดหุ้นเทคพุ่งรุนแรง คริปโตเองก็วิ่งไปทำ All Time High อย่างต่อเนื่อง
ในครั้งนั้นเป็นการต่อสู้กับภาวะล็อคดาวน์ โลกระบาด เศรษฐกิจชะงัก รัฐบาลเลยพยายามพิมพ์เงินเข้าระบบ แต่รอบนี้เป็นการต่อสู้กับเงินเฟ้อ หรือ ผลพวงจากการพิมพ์เงินที่ผ่านมา การใช้นโยบายพิมพ์เงินจำนวนมากๆ อาจจะเป็นไปได้ยากเพราะมันขัดกับสิ่งที่กำลังต่อสู้อยู่
ฉะนั้นถ้าเกิดเราเข้าสู่ recession ก็มีโอกาสที่ตลาดคริปโตจะดำดิ่งลงไปได้อีก และหลายคนก็มองว่าจุดนั้นอาจจะเป็นจุดที่ใกล้ต่ำสุดของตลาดคริปโต
แน่นอนว่าการเข้าซื้อเป็นเรื่องสำคัญ แต่แบ่งสัดส่วนการเข้า บริหารความเสี่ยง และบริหารหน้าตักให้ดี เป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน
สุดท้ายไม่มีใครสามารถซื้อถูกสุด และขายแพงสุดได้ทุกครั้ง แม้กระทั่งคนที่เก่งที่สุดในโลกก็ไม่สามารถทำได้ทุกครั้ง แต่ถ้าเราเป็นนักลงทุนและไม่ Take Action ใดๆ เลย นั้นก็เสี่ยงไม่แพ้กัน
เหมือนกับที่ Mellody Hobson เคยบอกไว้ว่า “ความเสี่ยงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือไม่รับความเสี่ยงเลย”