KEY TAKEAWAYS
- การประเมินโปรเจกต์เป็นสิ่งที่จะทำให้เพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุนในคริปโตมากขึ้น
- มีหลายปัจจัยที่เราต้องพิจารณา อย่างเช่น เหรียญนั้นมีจุดประสงค์การใช้งานคืออะไรซึ่งแน่นอนว่าหากมันสร้างขึ้นมาเพื่ออุดช่องโหว่ที่เกิดขึ้นในวงการตอนนี้ มันก็มีโอกาสที่จะมีผู้ใช้งานมากขึ้น หรืออาจจะต้องพิจารณาถึงทีมผู้สร้าง แน่นอนว่าหากทีมผู้สร้างเคยมีผลงานที่ประสบความสำเร็จมาก่อน โปรเจกต์นั้นก็น่าจับตามองมากขึ้น
- ยังมีอีกหลายปัจจัยเช่น Community ของโปรเจกต์ ซึ่งจะช่วยผลักดันโปรเจกต์อีกทางหนึ่ง หรือแผนงานและวิสัยทัศน์ของโปรเจกต์ ที่จะทำให้นักลงทุนมองเห็นภาพรวมโปรเจกต์ในระยะยาว
สำหรับนักลงทุนที่มองว่าวงการคริปโตยังมีอนาคตอีกไกลและราคาเหรียญต่างๆ จะฟื้นกลับมาได้ นี่อาจเป็นโอกาสอันดีที่จะพิจารณาลงทุนในโปรเจกต์ต่างๆ เพราะช่วงนี้เป็นช่วงตลาดหมี และราคาโทเค็นในตลาดถูกกว่าแต่ก่อนมากๆ
เอาล่ะ เกริ่นนำมาก็เหมือนจะเป็นการชี้นำให้ลงทุนในคริปโตซะงั้น ก็ต้องขอออกตัวก่อนว่าบทความนี้ไม่ใช่บทความแนะนำการลงทุน แต่หากคุณตัดสินใจมาแล้วว่ายังอยากอยู่ในตลาดคริปโต และต้องการลงทุนในโปรเจกต์คริปโตสักโปรเจกต์ การประเมินโปรเจกต์เป็นสิ่งที่สำคัญมาก
โปรเจกต์อย่าง Bitcoin (BTC) หรือ Ethereum (ETH) ซึ่งได้พิสูจน์ศักยภาพมาระยะเวลาหนึ่งแล้วอาจจะมีความเสี่ยงน้อย แต่ Altcoin ที่มีอยู่ในตลาดจำนวนมากอาจจะไปไม่ถึงฝัน อย่างที่เรารู้ว่าโปรเจกต์ในโลกคริปโตที่ประสบความสำเร็จมีน้อยมาก ดังนั้นเราจึงต้องพิจารณาโปรเจกต์แต่ละโปรเจกต์ให้ดีก่อนลงทุน
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าราคาและตัวชี้วัดที่สำคัญอื่นๆ จำนวนหนึ่งอาจทำให้ประเมินโปรเจกต์ได้อยู่บ้าง แต่เพื่อประเมินให้รอบด้านมากขึ้น นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ เพิ่มเติมด้วย เช่น ใครเป็นคนสร้างโปรเจกต์ กรณีการใช้งานของโปรเจกต์ และรายละเอียดใน white paper
เคียน่า แดเนียล (Kiana Danial) ผู้เขียนหนังสือ “Cryptocurrency Investing for Dummies” และผู้ก่อตั้ง Invest Diva กล่าวว่า “ก่อนที่จะดูความเคลื่อนไหวของราคา คุณต้องวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานของโปรเจกต์ด้วย เพื่อจะทำให้เลือกโปรเจกต์ที่ใช่ สู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ได้”
และนี่คือสิ่งที่คุณควรพิจารณาก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนในโปรเจกต์คริปโต
Utility & Use Case | ยูทิลิตี้และกรณีการใช้งาน
อย่างแรกที่ควรพิจารณาคือจุดประสงค์ของโปรเจกต์ โปรเจกต์นั้นสร้างมาเพื่ออะไร? แก้ปัญหาได้จริงหรือไม่?
โอกาสที่โปรเจกต์จะประสบความสำเร็จก็คือประโยชน์ของมันนี่เอง หากมันเป็นโปรเจกต์ที่ผู้คนต้องการ หรือมันมีความจำเป็นจริงๆ มันย่อมมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ
ยกตัวอย่างเช่น BTC ที่มีจุดประสงค์คือเพื่อเป็นช่องทางการชำระเงินที่ไม่ต้องพึ่งตัวกลางอย่างธนาคาร หรือ ETH ที่สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นแพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่ใช้สมาร์ทคอนแทร็ก (Smart Contract) เพื่อให้สามารถสร้างแอปพลิเคชั่นแบบไร้ศูนย์ได้ เป็นต้น
ถ้าหากเราไปพิจารณาโปรเจกต์คริปโตแล้วเผลอร้องออกมาว่า ‘เออ โปรเจกต์นี้ล่ะ’ ที่จะมาเปลี่ยนแปลงวงการ หรือที่จะมาแก้ไขปัญหาบางอย่าง ก็ถือว่าต้องเพิ่มเข้าลิสต์ แต่อย่ารีบด่วนลงทุน ต้องพิจารณาข้อมูลอื่นๆ ต่อไปก่อน
Community | คอมมูนิตี้
ไม่มีคอมมู ไม่มีอนาคต เพราะโปรเจกต์ต่างๆ สร้างมาให้มีผู้ใช้งาน ถ้าไม่มีผู้ใช้งานโปรเจกต์ก็ไปต่อไม่ได้ และ Community ของโปรเจกต์นี่เองที่จะทำให้เราเห็นภาพรวมผู้ใช้งานโปรเจกต์อย่างคร่าวๆ Community (นักขุด นักพัฒนา กลุ่มผู้สนับสนุน ผู้ใช้ศักยภาพ) สามารถสร้างมูลค่าให้โปรเจกต์ได้ด้วยการเป็นตัวอย่างของการใช้งานโปรเจกต์ รวมถึงเพิ่มความนิยมให้โปรเจกต์
ขนาดและความกระตือรือร้นเบื้องหลังโปรเจกต์เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เราเห็นแนวโน้มความสำเร็จของโปรเจกต์ เพราะมันจะบ่งชี้ได้ถึงแนวโน้มที่โปรเจกต์นี้จะได้รับความนิยมมากน้อยเพียงใด และสามารถแพร่กระจายออกไปได้ไกลแค่ไหน
เว็บไซต์อย่าง Reddit ถือว่าเป็นพื้นที่ที่เราจะเริ่มต้นในการดู Community ของแต่ละเหรียญได้ เพราะจะมีการวิเคราะห์และอภิปรายแนวโน้มและรายละเอียดของเหรียญ อีกช่องทางก็คือโซเชียลมีเดียของโปรเจกต์ อย่าง Facebook, Twitter, Telegram, Discord ซึ่งพื้นที่เหล่านี้ก็จะทำให้เรารู้ว่าแต่ละโปรเจกต์มีคอมมูที่แข็งแกร่งหรือไม่ ถ้าคอมมูแข็งแกร่ง ก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี
Team | ทีมผู้พัฒนา
ทีมผู้พัฒนาผู้อยู่เบื้องหลังโปรเจกต์ถือเป็นอีกเรื่องที่สำคัญ เพราะหากทีมผู้สร้างมีประวัติการสร้างโปรเจกต์ดีๆ มาก่อน ยิ่งประสบความสำเร็จหลายโปรเจกต์ ก็ช่วยเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จให้โปรเจกต์ล่าสุด
ยกตัวอย่างเช่นชาร์ลส์ ฮอสกินสัน (Charles Hoskinson) ผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum ซึ่งเป็นโปรเจกต์ที่ประสบความสำเร็จมาก (ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของตลาดคริปโต) หลังจากนั้นเขาก็ได้แยกตัวออกมาสร้างโปรเจกต์ของตัวเอง คือ Cardano (ADA) ชื่อของเขาและโปรเจกต์ที่เขาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งซึ่งประสบความสำเร็จมาก สามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ไม่น้อย และเมื่อผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ADA ก็ได้พิสูจน์แล้วว่ามันประสบความสำเร็จจริงๆ โดยมีมูลค่าตลาดใหญ่เป็นอันดับ 7 ของตลาดคริปโตเลยทีเดียว และแน่นอนว่าหากในอนาคต Hoskinson เปิดตัวโปรเจกต์ใหม่อีก ผู้คนก็คงให้ความสนใจกับมันไม่น้อยทีเดียว (แต่นั่นไม่ได้แปลว่ามันจะประสบความสำเร็จแบบ 100% หรอกนะ ทางที่ดีคือควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ให้ครบถ้วนด้วย)
นอกจากทีมผู้สร้าง พาร์ทเนอร์ของโปรเจกต์เองก็เป็นสิ่งที่ควรพิจารณา แน่นอนว่าถ้ามีบางโปรเจกต์ที่เป็นพาร์ทเนอร์กับ Google มันคงเป็นโปรเจกต์ที่น่าจับตามองมาก
แต่ทั้งนี้ มันมีบางโปรเจกต์เช่นกันที่เอาแค่ชื่อทีมมาอ้าง โดยที่คนที่ถูกอ้างชื่อไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับโปรเจกต์ สิ่งนี้ก็ต้องระวังเช่นกัน
Website & White Paper | เว็บไซต์และเอกสารโปรเจกต์
ถ้าจะมีแหล่งไหนที่จะให้ข้อมูลโปรเจกต์ได้อย่างถูกต้องก็คือในเว็บไซต์ทางการของโปรเจกต์นี่เอง ในเว็บไซต์ยังแสดงให้เห็นถึงความพร้อมของโปรเจกต์ด้วย เว็บไซต์โปรเจกต์ที่ดีควรให้ข้อมูลอย่างเปิดเผย ทั้งรายละเอียดของโปรเจกต์และทีมผู้สร้าง แต่หากเว็บไซต์ที่ดูแล้วเหมือนทำอย่างลวกๆ คำผิดเยอะ ข้อมูลมีจุดขัดแย้งเยอะ ก็มีความเป็นไปได้ที่มันจะเป็นโปรเจกต์หลอกลวง (หรืออย่างน้อยๆ มันก็สะท้อนให้เห็นว่าทีมผู้พัฒนาขาดความเอาใจใส่อยู่บ้างเหมือนกัน)
นอกจากนี้ White Paper ยังเป็นเรื่องที่ควรทำความเข้าใจ แม้ว่าเนื้อหาส่วนใหญ่จะค่อนข้างเป็นเรื่องทางเทคนิคเกินไปสำหรับนักลงทุน (อย่างเทคโนโลยีเบื้องหลังโปรเจกต์) แต่หากทำความเข้าใจก็อาจจะทำให้สามารถมองภาพรวมของโปรเจกต์ได้กว้างขึ้น (เช่นหากใน White Paper ของ BTC ไม่ได้อธิบายเรื่องหลักการ Halving เราก็จะไม่สามารถคาดการณ์การลดปริมาณการปล่อยเหรียญของ BTC ได้)
นอกจากทำให้เราเห็นภาพรวมของโปรเจกต์กว้างขึ้นแล้ว ยังทำให้เราเห็นความเอาใจใส่ของโปรเจกต์ด้วยเช่นกัน โปรเจกต์ที่ดีควรจะให้รายละเอียดไว้อย่างครบถ้วน
Road Map & Vision | แผนงานและวิสัยทัศน์
หากคุณต้องการที่จะถือเหรียญในระยะยาว วิสัยทัศน์ของโปรเจกต์น่าจะตอบได้ว่าโปรเจกต์จะไปต่อกับคุณในระยะยาวหรือไม่ โปรเจกต์ที่ดีจะต้องมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน มีแผนที่เส้นทางโปรเจกต์ที่เหมาะสม มีการวางแผนอนาคตล่วงหน้า หากบางโปรเจกต์มีความน่าสนใจ มันอาจจะเข้ามาอยู่ในตลาดได้ในระยะเวลาสั้นๆ แต่ในระยะยาวมันอาจไม่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้
Market Metrics | ตัวชี้วัดตลาด
มีตัวชี้วัดตลาดพื้นฐานอยู่ 3 ข้อที่อาจชี้ให้เห็นศักยภาพของแต่ละโปรเจกต์คร่าวๆ ได้ คือมูลค่าตลาด (Market Cap) ปริมาณการซื้อขาย (Trading Volume) และอุปทาน (Supply)
Market Cap : มูลค่าตลาดคำนวณจากราคาของเหรียญในปัจจุบันคูณกับ Circulation Supply มันเป็นตัวบ่งชี้ที่มีประโยชน์มากเกี่ยวกับความเสถียรและศักยภาพในการเติบโตของสกุลเงินดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนมือโปรหรือมือใหม่ Market Cap ก็ถือว่าเป็นตัวชี้วัดที่มีประโยชน์
การลงทุนในโปรเจกต์ที่มี Market Cap สูงอาจจะเสี่ยงน้อยกว่าโปรเจกต์ที่เกิดขึ้นใหม่ แต่โปรเจกต์คริปโตใหม่ๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นก็อาจจะมีศักยภาพที่จะเติบโตขึ้นได้ในอนาคต นั่นคือเหตุผลว่าทำไมจึงไม่ควรพิจารณา Market Cap เพียงอย่างเดียว
Trading Volume : วอลลุ่มหรือปริมาณการซื้อขาย หรือ สภาพคล่องนั้น เป็นตัวบ่งบอกว่าโปรเจกต์นี้มีปริมาณการซื้อขายมากน้อยแค่ไหน แน่นอนว่าหากสภาพคล่องเยอะความผันผวนของราคาก็จะต่ำ แต่ถ้าสภาพคล่องน้อยราคาก็อาจจะผันผวนได้มากขึ้น
Supply Metrics : Supply ส่งผลต่อราคาตามกฎ Demand-Supply เพราะฉะนั้นการพิจารณา Supply ของเหรียญจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ บางเหรียญมี Maximum Supply ในขณะที่บางเหรียญไม่มี มันก็จะทำให้เห็นแนวโน้มราคาของเหรียญในอนาคตได้ ผู้เชี่ยวชาญในวงการคริปโตกล่าวว่า นักลงทุนมักจะให้ราคากับโปรเจกต์ที่กำหนด Maximum Supply ของเหรียญมากกว่าโปรเจกต์ที่ไม่มี
ทั้งนี้ควรพิจารณาด้วยว่าหาก Supply จำนวนมากกระจุกตัวอยู่ในมือของนักลงทุนไม่กี่คน (วาฬ) มันอาจส่งผลกระทบต่อราคาอย่างมาก หากมีการเทขายในครั้งเดียว
Competitoin | เปรียบเทียบคู่แข่ง
รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง สำนวนนี้อาจจะถูกนำมาใช้ในการพิจารณาโปรเจกต์ในโลกคริปโตได้ด้วยเช่นกัน
ไม่เพียงโปรเจกต์ที่เรากำลังพิจารณาอยู่เป็นโปรเจกต์ที่น่าสนใจ แต่หากมันมีโปรเจกต์คู่แข่งที่ตอนนี้ประสบความสำเร็จอยู่แล้ว มันก็อาจจะลดโอกาสของการประสบความสำเร็จลงอยู่บ้าง (แต่ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะประสบความสำเร็จไม่ได้)
โดยปกติแล้วในตลาด และในแต่ละเป้าหมายของโปรเจกต์ มักจะมีผู้นำตลาดอยู่แล้ว อย่างเช่น Ethereum ที่เป็นผู้นำในด้านแพลตฟอร์มแบบ smart contract เป็นต้น โปรเจกต์เหล่านี้ออกมาสู่ตลาดเป็นรายแรกๆ และได้รับการยอมรับจากผู้ใช้แล้วพอสมควร ดังนั้นหากมีโปรเจกต์ใหม่ๆ ที่มีจุดประสงค์การใช้งานคล้ายๆ กัน มันก็อาจจะมีพื้นที่ว่างให้ประสบความสำเร็จน้อยลง
Timing | จังหวะเวลา
เจมส์ คาเมรอน (James Cameron) ผู้กำกับหนังดังเรื่อง Avatar ได้ไอเดียและเขียนบทเรื่อง Avatar เสร็จตั้งแต่ในช่วงปี 90 ทีแรกเขาวางแผนที่จะถ่ายทำและออกฉายในปี 1999 แต่ต้องระงับโปรเจกต์ไว้ก่อน เพราะเทคโนโลยีในสมัยนั้นยังไม่สามารถสร้างฉากที่เขาพึงพอใจได้ ดังนั้นเขาจึงรอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมจึงเริ่มถ่ายทำเรื่อง Avatar
เช่นเดียวกับโปรเจกต์คริปโตที่เราอาจกำลังพิจารณา บางทีมันอาจจะเป็นโปรเจกต์ที่น่าสนใจ มีทีมเบื้องหลังที่ดี แต่บางทีมันอาจจะยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่จะเติบโตได้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีหรืออะไรก็ตาม ดังนั้นเรื่องเวลาจึงเป็นสิ่งที่ควรพิจารณาด้วย
นี่คือปัจจัยเบื้องต้นที่นักลงทุนควรพิจารณาก่อนที่จะโยนเม็ดเงินลงไปลงทุนในแต่ละโปรเจกต์ จริงอยู่ที่ว่ามันอาจจะไม่การันตีผลกำไรหรือยืนยันความสำเร็จแบบ 100% แต่มันย่อมมีโอกาสประสบความสำเร็จกว่าการไม่พิจารณาอะไรหรือดีกว่าการโยนเหรียญสุ่มหัวก้อยอย่างแน่นอน
References : Time.com, Coindesk, Digitalsurge, Medium