KEY TAKEAWAYS
- ปริมาณของเหรียญส่งผลต่อราคาเหรียญตามกฎ Demand-Supply
- 9 เหรียญดังในบทความนี้ประกอบไปด้วย BTC, ETH, BNB, ADA, SOL, DOGE, DOT, SHIB และ NEAR
อย่างที่เรารู้กันดีว่าปริมาณของเหรียญส่งผลต่อราคาของเหรียญนั้นๆ ตามกฎ Demand-Supply (อุปสงค์ อุปทาน) ดังนั้นสิ่งที่นักลงทุนจำเป็นต้องรู้ก็คือกลไกการเพิ่มและลดเหรียญ รวมถึง maximum supply (อุปทานสูงสุด หรือ จำนวนเหรียญสูงสุดที่โปรเจกต์มีได้) ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ถือเป็นข้อมูลสำคัญที่นักลงทุนสามารถนำไปใช้เพื่อประกอบการประเมินเหรียญนั้นๆ ได้
Bitcoin (BTC)
การเพิ่มจำนวนเหรียญ :
Bitcoin ที่เรานำมาหมุนเวียนใช้ในตลาดถูกปล่อยออกมาในรูปของรางวัลให้กับนักขุดเหมือง นักขุดเหมืองคือ node หรือคอมพิวเตอร์ที่กระจายอยู่ทั่วโลกที่ช่วยยืนยันธุรกรรมต่างๆ ของ bitcoin ซึ่ง node เหล่านี้จะต้องแข่งกันแก้ไขโจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ซึ่งเป็นกลไกการทำธุรกรรมที่เราเรียกกันว่า Proof-of-Work Node ที่สามารถแก้โจทย์ทางคณิตศาสตร์ที่ระบบของ bitcoin ตั้งไว้ได้เป็นคนแรกจะได้รับรางวัลเป็น bitcoin
แต่ทั้งนี้ bitcoin มีกระบวนการช่วยชะลอการเปล่อยเหรียญที่เรียกว่า Halving ซึ่งก็คือ เมื่อทุกๆ 210,000 บล็อกถูกขุด หรือประมาณทุกๆ 4 ปี รางวัลที่ได้จากการขุดในแต่ละบล็อกจะลดลงครึ่งหนึ่ง ย้อนกลับไปเมื่อปี 2009 แต่ละบล็อกจะให้รางวัลนักขุดบล็อกละ 50 BTC หลังจากการ Halving ครั้งแรก (ประมาณปี 2013) รางวัลจะลดลงเหลือบล็อกละ 25 BTC และหลังจากนั้นก็จะลดลงเหลือบล็อกละ 12.5 BTC และในปัจจุบันคือ 6.25 BTC ต่อบล็อก
การลดจำนวนเหรียญ :
Bitcoin ไม่มีการเผาเหรียญออกจากระบบ
Maximum Supply | อุปทานสูงสุด :
Bitcoin กำหนด max supply ไว้ที่ 21 ล้านเหรียญ แต่ด้วยระบบการลดอัตราเงินเฟ้อที่เรียกว่า halving นี้เองที่ทำให้กว่าจะขุด bitcoin ได้ครบ 21 ล้านเหรียญก็ประมาณปี 2140 โน่นเลย
Ethereum (ETH)
การลดจำนวนเหรียญ :
Ethereum เสนอขายรอบสาธารณะแบบ ICO (initial coin offering : ICO) เพื่อระดมทุน โดยขายไปประมาณ 60 ล้าน ETH ส่วนอีก 12 ล้าน ETH กระจายไปยังผู้ก่อตั้งและทีมนักพัฒนา จากนั้นจะมีการปล่อยเหรียญออกมาในรูปแบบรางวัลให้แก่ผู้ยืนยันธุรกรรมในระบบ ในช่วงเริ่มต้น Ethereum ใช้การยืนยันธุรกรรมแบบ PoW เช่นเดียวกับ Bitcoin โดยแต่ละบล็อกจะได้รางวัลอยู่ที่ 2 ETH และบล็อกใหม่จะออกทุกๆ 13 วินาที ดังนั้นในหนึ่งวันจะมี ETH ออกมาจากการเป็นรางวัลให้นักขุดประมาณ 13,000 ETH การปล่อย ETH อีกแบบคือการเป็นรางวัลให้กับเหล่า Validator ที่ยืนยันธุรกรรมแบบ Proof-of-Stake ประมาณทุกๆ 6.4 วินาที หรือประมาณ 1,600 ETH ต่อวัน
แต่เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2022 ที่ผ่านมา Ethereum ได้มีการอัพเกรดที่เรียกว่า The Merge และเปลี่ยนไปใช้การยืนยันธุรกรรมแบบ Proof-of-Stake แทน จึงมี ETH เพียงประมาณ 1,600 ETH ต่อวันจากการเป็นรางวัลให้ Validator เท่านั้นที่ถูกปล่อยออกมา จะเห็นได้ว่าลดลง 89.4%
Proof-of-Stake (PoS) จะใช้คอมพิวเตอร์ของผู้ที่เป็นเจ้าของเหรียญในการตรวจสอบและยืนยันธุรกรรมของบล็อก เจ้าของเหรียญจะใช้เหรียญของพวกเขาเป็นหลักประกัน (stake) เพื่อจะให้พวกเขามีสิทธิ์ในการตรวจสอบความถูกต้องของบล็อกและได้รับรางวัลเป็น ETH
การลดจำนวนเหรียญ :
Ethereum จะมีการเก็บค่าธรรมเนียม (Gas Fee) กับธุรกรรมที่ดำเนินบนบล็อกเชนของ Ethereum และค่าธรรมเนียมเหล่านี้จะถูกเผาออกไปจากอุปทานหมุนเวียนของ Ethereum อย่างน้อย 1,600 gwei ต่อวัน
ค่าธรรมเนียมเหล่านี้จะไม่มีอัตราที่ถูกกำหนดตายตัว แต่จะขึ้นอยู่กับจำนวนธุรกรรมที่รอดำเนินการในระบบ หากเป็นช่วงที่มีการทำธุรกรรมเยอะ ค่าธรรมเนียมก็จะเยอะตามไปด้วย ดังนั้นหากในอนาคตมีการทำธุรกรรมในระบบนิเวศของ Ethereum เยอะจนค่าธรรมเนียมที่ถูกเผาเยอะกว่า inflation rate ETH ก็จะเข้าสู่การเป็นเหรียญเงินฝืด (deflation)
Maximum Supply | อุปทานสูงสุด :
ไม่มีอุปทานสูงสุด และปัจจุบันมี inflation rate 0.49%
Binance Coin (BNB)
การเพิ่มจำนวนเหรียญ :
BNB เสนอขายรอบสาธารณะแบบ ICO (initial coin offering) ในเดือนกรกฎาคม 2017 โดยมีจำนวนเหรียญทั้งหมด 200 ล้าน BNB ในจำนวนนี้ 80 ล้าน BNB อยู่กับทีมผู้ก่อตั้ง อีก 20 ล้าน BNB ถูกแจกจ่ายให้กับกลุ่มนักลงทุนที่เรียกว่า ‘angel investors’ และอีก 100 ล้าน BNB ถูกนำมาเปิดขายแบบสาธารณะ ปัจจุบัน (20 กันยายน 2022) BNB มี Circulation Supply (อุปทานหมุนเวียน) 161 ล้าน BNB และมี Total Supply อยู่ที่ 161 ล้าน BNB โดย BNB จะไม่มีการเพิ่มโทเค็นมากไปกว่านี้
การลดจำนวนเหรียญ :
ใน Whitepaper ของ BNB ระบุว่าจะนำกำไร 20% ของทุกไตรมาสมาเผาจนกว่าจะครบ 100 ล้าน BNB แต่ในเดือนธันวาคม 2021 ก็ได้เปลี่ยนมาใช้การเผาอัตโนมัติแทน ซึ่งระบบจะคำนวณ BNB ที่จะถูกเผาตามราคาปัจจุบัน และจำนวนบล็อกที่ถูกสร้างขึ้นในแต่ละไตรมาส ในปัจจุบัน BNB ถูกเผาไปแล้วเกือบ 39 ล้าน BNB
โดยเราสามารถติดตามข้อมูลการเผาเหรียญของ BNB ได้ที่ bnbburn.info
Maximum Supply | อุปทานสูงสุด :
200 ล้าน BNB หลังจากหักเหรียญที่เผาแล้ว ณ ตอนนี้มี Total Supply ทั้งหมดอยู่ที่ 161 ล้าน BNB
Cardano (ADA)
การเพิ่มจำนวนเหรียญ :
ADA ถูกปล่อยออกมาผ่านการเสนอขาย ICO ในปี 2015 จำนวน 2.59 หมื่นล้าน ADA อีก 5.2 พันล้าน ADA ปล่อยไปยังองค์กรผู้ก่อตั้งทั้ง 3 ได้แก่ IOHK, EMURGO และ Cardano ที่เหลืออีก 1.39 หมื่นล้าน ADA จัดเป็นทุนสำรองที่จะทยอยปล่อยออกมาในอนาคตเพื่อเป็นรางวัลให้กับผู้ยืนยันธุรกรรมผ่านกลไกฉันทามติแบบ PoS ที่พัฒนาขึ้นมาเองชื่อ Ouroboros ทั้งนี้ ADA กำหนด inflation rate (อัตราเฟ้อของโทเค็น) ไว้ที่ประมาณ 2% ต่อปี
การลดจำนวนเหรียญ :
ปัจจุบัน ADA ยังไม่มีการเผาเหรียญ แต่ก็มีข่าวออกมาว่าทีมนักพัฒนากำลังพัฒนากลไกการเผาเหรียญกันอยู่ ซึ่งก็ต้องรอติดตามกันต่อไป
Maximum Supply | อุปทานสูงสุด : 4.5 หมื่นล้าน ADA
Solana (SOL)
การเพิ่มจำนวนเหรียญ :
Solana จะถูกปล่อยออกมาเป็นรางวัลจากการ stake เพื่อยืนยันธุรกรรมตามกลไก PoS และยังแจกจ่ายออกมาตาม inflation rate ซึ่งจะถ่วงน้ำหนักตามสัดส่วนที่ Solana กำหนดไว้ ทั้งนี้ SOL เปิดตัวด้วย inflation rate ประมาณ 8% ซึ่งคาดว่าจะลดลงปีละ 15% จนกว่าจะเหลือปีละ 1.5%
การลดจำนวนเหรียญ :
ยังไม่มีกลไกการเผาเหรียญออกจากระบบ
Maximum Supply | อุปทานสูงสุด :
ไม่มีอุปทานสูงสุด และในปัจจุบันมี inflation rate 7%
Dogecoin (DOGE)
การเพิ่มจำนวนเหรียญ :
เหรียญ DOGE จะถูกปล่อยออกมาในรูปแบบรางวัลสำหรับผู้ยืนยันธุรกรรมในระบบ ทั้งนี้ DOGE ใช้การยืนยันธุรกรรมแบบ PoW เช่นเดียวกับ bitcoin โดยบล็อกจะถูกขุดทุกๆ 1 นาที และในแต่ละบล็อกจะมีรางวัล 10,000 DOGE ทั้งนี้รางวัลจะถูก halving (ลดลงครึ่งหนึ่ง) ทุกๆ 100,000 บล็อก
การลดจำนวนเหรียญ :
ยังไม่มีกลไกการเผาเหรียญออกจากระบบ
Maximum Supply | อุปทานสูงสุด :
เริ่มแรก DOGE กำหนดให้มีอุปทานสูงสุด 1 แสนล้าน DOGE แต่ในเดือนกุมภาพันธ์ 2014 ทีมผู้พัฒนาก็ปรับให้ DOGE มีอุปทานได้ไม่จำกัด โดยปัจจุบันมี inflation rate อยู่ที่ 3.83%
Polkadot (DOT)
การเพิ่มจำนวนเหรียญ :
เหรียญ DOT จะมีการเพิ่มจำนวนเหรียญออกมาในลักษณะการจ่ายรางวัลจากการ Stake เพื่อยืนยันธุรกรรมแบบ PoS โดยมี inflation rate เริ่มแรกที่ประมาณ 10% และจะค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ หลังจากนั้น
การลดจำนวนเหรียญ :
ยังไม่มีกลไกการเผาเหรียญออกจากระบบ
Maximum Supply | อุปทานสูงสุด :
ไม่มีอุปทานสูงสุด และปัจจุบันมี inflation rate ที่ 9.99%
Shiba Inu (SHIB)
การเพิ่มจำนวนเหรียญ :
SHIB เริ่มต้นด้วยการสร้างโทเค็น 999 ล้านล้านเหรียญขึ้นมา จากนั้นนำ 50% ล็อคไว้ใน Uniswap (Dex – กระดานแลกเปลี่ยนแบบไม่มีตัวกลาง) ซึ่งผู้ใช้จะได้รับโทเค็นจากการให้สภาพคล่องหรือ stake ส่วนอีก 50% ผู้ก่อตั้งได้โอนไปให้วิตาลิก บูเตริน (Vitalik Buterin) ผู้ก่อตั้ง Ethereum ซึ่ง Vitalik ก็ได้เผา SHIB ไปกว่า 90% และบริจาค SHIB มากกว่า 50 ล้านล้านโทเค็นให้กับมูลนิธิบรรเทาภัยจากโควิด-19 ของประเทศอินเดีย โดยหลังจากนี้ Shiba Inu จะไม่มีการเพิ่มโทเค็นอีก
การลดจำนวนเหรียญ :
นักพัฒนา Shiba Inu ได้พัฒนากลไกการเผาโทเค็นไว้บน ShibaSwap ซึ่งจะทำให้ผู้ถือโทเค็น SHIB สามารถเผาโทเค็นของตัวเองได้ ในขณะที่ยังคงได้รับรางวัลอยู่
โดยเราสามารถติดตามข้อมูลการเผาเหรียญ SHIB ได้ที่ shibburn .com ซึ่งเป็นเว็บไซต์สำหรับติดตามเหรียญ SHIB ที่ถูกเผา โดยในปัจจุบันมี SHIB ถูกเผาไปแล้วประมาณ 410 ล้านล้าน SHIB
Maximum Supply | อุปทานสูงสุด :
มี Max Supply อยู่ที่ 999 ล้านล้าน SHIB หลังจากหักเหรียญที่เผาแล้ว ณ ตอนนี้มี Total Supply เหลืออยู่ 589 ล้านล้าน SHIB
NEAR Protocol (NEAR)
การเพิ่มจำนวนเหรียญ :
NAER ถูกสร้างขึ้นมา 1,000 ล้าน NEAR จากนั้น NEAR จะถูกปล่อยออกมาเพื่อเป็นรางวัลให้กับ Validators ที่ตรวจสอบและยืนยันการทำธุรกรรมในระบบ โดย NEAR มีอัตราเฟ้อของโทเค็นอยู่ที่ 5% ต่อปี แบ่งเป็น 4.5% สำหรับเป็นรางวัลให้กับ Validators ส่วนอีก 0.5% เป็นค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมซึ่งจะเก็บคืนมายังคลังของระบบ
การลดจำนวนเหรียญ :
NEAR Protocal จะเผาค่าธรรมเนียม 70% เพื่อลดอุปทาน
Maximum Supply | อุปทานสูงสุด :
มีอุปทานสูงสุด 1,000 ล้าน NEAR
References : Investopedia(1), Investopedia(2), Investopedia(3), Messari(1), Decrypt, Corporatefinanceinstitute, Exodus, Blocknative, Figment, Solana, Messari(2), Shibatoken, Messari(3), Messari(4)