KEY TAKEAWAYS
- ปรากฎการณ์ที่เรียกว่า ความเจือจางของศักยภาพ (dilution of expertise) คือการที่เมื่อเทคโนโลยีหนึ่งเกิดขึ้นและได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ก็จะมีคนกระโดดเข้ามาคัดลอกและเลียนแบบไอเดียจนทำให้ต้นฉบับลดความน่าสนใจลง อย่างเช่นเกม Atari ในช่วงทศวรรษที่ 1980
- นักวิจัยมองว่ารูปแบบนี้อาจเกิดขึ้นกับ Bitcoin ด้วยเพราะหลังจาก Bitcoin เกิดขึ้น มันก็มี Altcoin เกิดตามมาอีกมากมาย ซึ่งลดทอนความน่าสนใจของ Bitcoin ลง
- แต่ทั้งนี้ Atari หรือ Reddits มีความแตกต่างในแง่เป้าหมายและคุณประโยชน์ อย่าง Atari เป็นตัวเลือกหนึ่งในเรื่องของความบันเทิง ในขณะที่ Bitcoin ถูกพิจารณาในแง่ของนวัตกรรม และอาจถือเป็นอีกขั้นของวิวัฒนาการทางการเงินได้ ดังนั้นมันจึงอาจมีความแตกต่างกันได้
Bitcoin เป็นคริปโตเคอร์เรนซีเหรียญแรกของโลก มันเปิดเผยศักยภาพของสกุลเงินดิจิทัลรวมถึงเทคโนโลยีบล็อกเชนจนทำให้เกิดเหรียญอื่นๆ ซึ่งเราเรียกว่า Altcoin ตามมาอีกนับพันนับหมื่นเหรียญ มองในมุมหนึ่งมันดูเหมือนเป็นความก้าวหน้าของเทคโนโลยี แต่กลับมีงานวิจัยที่บอกว่า Altcoin นี่แหล่ะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่จะทำให้ Bitcoin ล่มสลาย มันเป็นไปได้ยังไงกัน?
งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับวัฏจักรการเติบโตและล่มสลายอย่างรวดเร็ว (Boom and Bust Cycles) ของผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา (เช่นนักเครือข่ายวิทยา นักมานุษยวิทยา นักวิวัฒนาการวัฒนธรรม ฯลฯ) โดยศึกษา 3 เทคโนโลยีคือ เกม Atari ที่บูมในช่วงปี 1979 – 1991, คริปโตเคอร์เรนซีในช่วงปี 2015 – 2020 รวมถึงลักษณะของโพสต์บนเว็บไซต์ Reddits ตั้งแต่ปี 2018 – 2019
นักวิจัยเรียกปรากฎการณ์ที่ทำให้เกิด boom and bust cycle ว่า ความเจือจางของศักยภาพ (dilution of expertise) นั่นคือเหตุการณ์ที่เมื่อเทคโนโลยีหนึ่งเกิดขึ้นและได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ก็จะมีคนกระโดดเข้ามาคัดลอกและเลียนแบบไอเดียจนทำให้ต้นฉบับลดความน่าสนใจลง
กรณีของเกม Atari ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 ต้นฉบับสุดสร้างสรรค์อย่างเกม Centipede และ Space Invaders วางจำหน่ายและได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ไม่นานหลังจากนั้นมันก็มีเกม Atari ตามมาแทบล้นตลาดซึ่งเป็นการคัดลอกและแก้ไขโค้ดเพื่อสร้างเกมของตัวเอง เช่น Phobos, Pushky, Quarxon แน่นอนว่าเกมที่เกิดจากการลอกเลียนเหล่านี้ก็จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเกมต้นฉบับอีกต่อไป แต่สิ่งตอบแทนที่เกมต้นฉบับได้รับก็คือความคิดสร้างสรรค์และมูลค่าของนวัตกรรมลูกลดทอนลง
ส่วนกรณีของโพสต์ Reddits มันมักจะเป็นข้อความสั้นๆ ซึ่งคนต่อไปที่จะเม้นท์ก็สามารถที่จะคัดลอกโพสต์ก่อนหน้า ดัดแปลงข้อความเพียงเล็กน้อยแล้วโพสต์ได้เลย ซึ่งผ่านไปสักพักเมื่อหัวข้อไม่มีอะไรอัพเดต ไม่แปลกใหม่ ความสนใจของผู้คนก็จะน้อยลง
มากรณีของคริปโตเคอร์เรนซีกันบ้าง หลังจาก Bitcoin เปิดตัวออกมามันก็มี Altcoin ตามมาอีกเป็นหมื่นๆ เหรียญ แน่นอนว่าแม้ปัจจุบัน Bitcoin จะยังเป็นพี่ใหญ่ในวงการอยู่ แต่ความสนใจของผู้คนก็ไม่ได้โฟกัสไปที่ Bitcoin เพียงเหรียญเดียว นอกจากจะลดทอนความน่าสนใจของต้นฉบับแล้ว มันยังได้ดึงดูดสแกมและแฮ็กเกอร์ต่างๆ เข้ามาจนส่งผลให้ภาคส่วนคริปโตเป็นภาพลบในสายตาของผู้คนส่วนหนึ่งด้วย
การลอกเลียนเหล่านี้ทำได้ง่าย อย่างเกม Atari ก็เป็นชุดโค้ด 8-bits ที่โปรแกรมเมอร์ภายในบริษัทใช้ร่วมกัน โปรแกรมเมอร์บริษัทอื่นๆ สามารถคัดลอกได้ ส่วนคริปโตเคอร์เรนซีก็บอกข้อมูลเชิงเทคนิคไว้ในไวท์เปเปอร์ซึ่งสามารถลอกเลียนแบบได้
นักวิจัยมองว่าเมื่อผ่านกระบวนการคัดลอกทีละขั้นๆ แนวคิดดั้งเดิมของผู้พัฒนารุ่นบุกเบิกก็จะค่อยๆ เจือจางไป เมื่อมันมีผลิตภัณฑ์เลียนแบบเพิ่มมากขึ้น ความสนใจของผู้คนก็จะลดลง หรือนักลงทุนอาจจะเสียเงินจากโปรเจกต์ Altcoin ที่ไม่ดี ซึ่งมันก็อาจจะเป็นปัจจัยที่นำไปสู่การล่มสลายของทั้งอุตสาหกรรมได้
แล้วอย่างนั้น Bitcoin จะยังมีอนาคตอยู่หรือไม่?
อันที่จริงการเลียนแบบไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเท่าไหร่หรอก เพราะแนวคิดเรื่องการคัดลอกแนวคิดที่ประสบความสำเร็จก็เป็นหนึ่งในขั้นตอนความก้าวหน้าของมนุษย์เราเหมือนกัน เพียงแต่ว่างานสร้างสรรค์บางประเภท การเลียนแบบมันอาจจะทำให้ศักยภาพเจือจางลงบ้างและก็เพิ่มโอกาสในการล่มสลายได้ งานวิจัยนี้ก็อาจสามารถเอาไปทำนายความความล้มเหลวของอุตสาหกรรมบางประเภทได้
คำถามที่น่าสนใจคือแล้วหากมองในมุมนี้ Bitcoin ยังนับว่ามีอนาคตอยู่หรือไม่?
สำหรับเรามองเห็นความแตกต่างของ Atari, Reddits กับ Bitcoin ได้ อย่างแรกคือเป้าหมายและคุณประโยชน์ของมัน เกม Atari หรือ Reddits นับเป็นตัวเลือกหนึ่งของความบันเทิง เมื่อมีคู่แข่งในอุตสาหกรรมมากขึ้น หรือมีเกมอื่นๆ เกิดขึ้น คนก็อาจหันเหความสนใจไปได้
ในขณะที่ Bitcoin หรือคริปโตเคอร์เรนซีถูกมองในแง่ของนวัตกรรม มองอีกแง่มันอาจสามารถเป็นอีกขั้นของวิวัฒนาการทางการเงินได้ มันยังมีเทคโนโลยีอย่างบล็อกเชน หรือแนวคิดเรื่องการกระจายอำนาจอยู่เบื้องหลัง ซึ่งอาจสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆ ได้
ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเองก็มองว่าตอนนี้คริปโตเคอร์เรนซียังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น ส่วนใหญ่ยังเป็นการเก็งกำไร กรณีการใช้งานจริงๆ ของคริปโตส่วนใหญ่ก็ยังไม่มีให้เห็น และกฎหมายก็ยังตามนวัตกรรมไม่ทัน หากสิ่งเหล่านี้ก้าวหน้ามากขึ้น ภาคส่วนคริปโตเคอร์เรนซีก็จะค่อยๆ ดีขึ้น
แน่นอนว่าหากในอนาคตมีเทคโนโลยีการชำระเงินแบบใหม่ที่น่าสนใจกว่าคริปโตเคอร์เรนซี วงการนี้ก็อาจไม่ได้รับความสนใจอีกต่อไปก็ได้ แต่ว่าไม่ได้เกิดขึ้นเพราะ Altcoin แย่งความสนใจไปหมด เพราะเราไม่ได้พิจารณาในแง่ศักยภาพที่มันสามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ แต่พิจารณาในแง่ศักยภาพที่มันอาจสามารถเป็นอีกก้าวของระบบการเงินโลกได้ต่างหาก
References: Theconversation, Nature, Forkast
Graphic Ideas: