KEY TAKEAWAYS
- Public Key และ Private Key เกิดมาจากเทคโนโลยีชนิดเดียวกันคือ Public-Private Key cryptography (PKC)
- บนโลกคริปโตเคอร์เรนซี Public Key คือที่อยู่กระเป๋าเงิน ส่วน Private Key คือกุญแจเข้าใช้งานกระเป๋าเงิน
- เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่ Private Key ของเราจะต้องไม่ถูกแบ่งปันกับผู้ใด
บนโลกคริปโตเคอร์เรนซี และ Web3 หนึ่งในสิ่งสำคัญที่ทุกคนต้องใช้คือกระเป๋าเงินดิจิทัล โดยกระเป๋าเงินดิจิทัลนี้จะเป็นสิ่งที่แสดงที่อยู่กระเป๋าเงินของเรา โดยที่อยู่กระเป๋าเงินของเรานั้นเรียกกันว่า Public Key ส่วนสิ่งที่ใช้ยืนยันตัวตน หรือเป็นกุญแจในการใช้งานกระเป๋าเงินใบนั้น เราเรียกว่า Private Key นั้นหมายความว่า ถ้าเกิดมีคนที่รู้ Private Key ของคุณ แสดงว่าเขาก็สามารถเข้าถึงสินทรัพย์ภายในกระเป๋าเงินของคุณได้เช่นกัน
แล้วรู้หรือเปล่าว่า Public Key และ Private Key นั้นมีต้นกำเนิดมาจากเทคโนโลยีเดียวกัน แล้วทั้งสองอย่างเกี่ยวข้องกันยังไง ในบทความนี้เราจะพาไปดูกัน
Public Key คืออะไร
กุญแจสาธารณะ (Public Key) คือ ชุดรวมของตัวเลขและตัวอักษรที่ใช้สำหรับรับหรือส่งข้อมูลธุรกรรมบนโลกคริปโตเคอร์เรนซี โดย Public Key แต่ละชุดไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องถูกเก็บเป็นความลับ ผู้ใช้งานทุกคนบนโลกบล็อกเชนสามารถที่จะเห็นหรือรู้ Public Key ของใครก็ได้ แต่การที่จะใช้งาน Public Key ได้นั้นจำเป็นที่จะต้องมีกุญแจส่วนตัว (Private Key) ที่เป็นคู่กันด้วย
Private Key คืออะไร
กุญแจส่วนตัว (Private Key) คือชุดตัวอักษรหรือตัวเลขจำนวนมากที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในการลงนามในธุรกรรมที่เราจะทำ นอกจากนี้ Public Key ยังถูกสร้างขึ้นมาโดยอิงจาก Private Key โดยใช้อัลกอริทึมลายเซ็นดิจิทัลที่เรียกว่า Elliptic Curve (Elliptic Curve Digital Signature Algorithm : ECDSA) โดย Private Key นั้นมีได้หลายหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นชุดรหัสแบบไบนารียาว 256 ตัวอักษร, เลขฐานสิบหกจำนวน 64 หลัก, คิวอาร์โค้ด (QR Code) หรือ วลีช่วยจำ (Mnemonic Phrase)
เราจำเป็นที่จะต้องมี Private Key เพื่อใช้ในการยืนยันความเป็นเจ้าของ Public Key และเป็นสิ่งสำคัญอย่างที่ Private Key จะต้องไปไม่ถูกนำไปแบ่งปันกับใคร เพื่อความปลอดภัยของกระเป๋าเงินของเรา
เทคโนโลยีเบื้องหลัง Public-Private Key
Public-Private Key Cryptography (PKC) เป็นเทคโนโลยีที่มักจะใช้ในการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลด้วยวิธีการเข้ารหัสแบบอสมมาตร (Asymmetic Encryption) โดยในตอนแรกนั้น PKC ถูกใช้งานครั้งแรกในการเข้ารหัสและถอดรหัสข้อความในการคำนวณแบบเดิม
ต่อมาในยุคของคริปโตเคอร์เรนซี ก็ได้ใช้เทคโนโลยีนี้ในการเข้ารหัสและถอดรหัสธุรกรรม ซึ่งหากไม่มี PKC เป็นเทคโนโลยีเบื้องหลังนั้น การใช้งานสกุลเงินดิจิทัลและคริปโตเคอร์เรนซีก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ส่วนสำคัญของระบบ PKC นั้นก็คือฟังก์ชั่นประตูกล (Trapdoor Function) ซึ่งเป็นฟังก์ชั่นคณิตศาสตร์ที่สามารถแก้ไขแบบทางเดียวได้อย่างง่ายดาย (One-way Solve) แต่ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีการแก้ไขแบบย้อนกลับ แต่คุณก็อาจจะแก้ไขมันได้นะ ถ้าคุณมีซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ และมีเวลาสักพันปี
ความสัมพันธ์ระหว่าง Public Key กับ Private Key
Private Key นั้นมีไว้ใช้งานคู่กับ Public Key โดยในการที่เราจะทำธุรกรรมใดๆ นั้น เราจะเป็นที่จะต้องใช้ Private Key ที่เข้าคู่กับ Public Key เพื่อทำการยืนยันต่อบล็อกเชนว่าเราเป็นเจ้าของสินทรัพย์หรือเป็นเจ้าของกระเป๋าเงินนี้จริงๆ
ลองคิดถึงการใช้งานอีเมล์ ทุกคนสามารถส่งอีเมล์ให้กับใครก็ได้ ขอเพียงแค่มีที่อยู่อีเมล์ (Public Key) ของคนๆ นั้น แต่การที่จะเข้าไปอ่านอีเมล์ที่ถูกส่งเข้ามาในกล่องจดหมาย คนๆ นั้นจำเป็นที่จะต้องมีรหัสผ่าน (Private Key) เพื่อแสดงความเป็นเข้าของ และทำการเข้าถึงกล่องจดหมายดังกล่าว
เมื่อมาอยู่บนโลกบล็อกเชน Public Key ก็คือที่อยู่กระเป๋าเงิน อย่างเช่น ที่อยู่กระเป๋าเงินของเราบนบล็อคเชน Ethereum ก็จะขึ้นต้นด้วย 0x และมีความยาว 40 ตัวอักษร และ Private Key ก็จะเป็นแบบ Mnemonic Phrase ที่เราต้องทำการจดไว้เมื่อตอนที่เราเริ่มสร้างกระเป๋าขึ้นมา
จะเห็นได้ว่าทั้ง Public Key และ Private Key มาจากเทคโนโลยีเดียวกัน มีความเกี่ยวข้องกัน แต่ว่าทำหน้าที่กันคนละส่วน สามารถสรุปอย่างง่ายได้ว่า Public Key คือที่อยู่กระเป๋าเงิน ส่วน Private Key คือกุญแจสำหรับเข้าใช้กระเป๋าเงิน ทั้งสองสิ่งนี้ทำงานร่วมกันบนโลกบล็อกเชนนั้นเอง
สิ่งสำคัญที่สุดที่ควรจำเอาไว้ให้ขึ้นใจก็คือ ห้ามแบ่งปัน Private Key ให้กับใครก็ตาม มิเช่นนั้นกระเป๋าเงินของคุณ อาจจะตกอยู่ในอันตราย
References : Gemini(1), Gemini(2), Messari(1), Messari(2)