KEY TAKEAWAYS
- ตลาดน้ำมันโลกแบ่งออกเป็นโลกตะวันตกและตะวันออก สาเหตุจากการคว่ำบาตรการส่งออกน้ำมันรัสเซีย การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะส่งผลต่อราคาน้ำมันในปีนี้และปีต่อๆ ไป
- เทคโนโลยีที่ได้รับการพูดถึงมากคือเรื่องปัญหาประดิษฐ์หรือ AI มีเม็ดเงินไหลเข้าภาคส่วนนี้จำนวนมาก แน่นอนว่าการแข่งขันก็เข้มข้นเช่นกัน มันน่าจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของพื้นฐานคอมพิวเตอร์อย่างแน่นอน
- การล่มสลายของ FTX ได้ทำลายความเชื่อมั่นของจุดเด่นหนึ่งของอุตสาหกรรมคริปโตคือ decentralized และแน่นอนว่าเรื่องนี้ก็ยังคงต้องถูกตั้งคำถามต่อไปในปี 2023 และต้องจับตามองนโยบายการเงินของ Fed หากมีการลดอัตราเงินเฟ้อและลดอัตราดอกเบี้ย สถานการณ์ของคริปโตเคอร์เรนซีก็จะค่อยๆ ดีขึ้นตามไปด้วย
รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ในโลกธุรกิจการได้รู้ล่วงหน้าก็เป็นเรื่องดีเช่นกัน แต่เป็นเรื่องแน่อยู่แล้วว่าไม่มีใครสามารถรู้อนาคตได้ แต่เราสามารถอ่านเทรนด์ต่างๆ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์โลกได้
และนี่คือเทรนด์ธุรกิจโลกปี 2023 ที่น่าจับตา ทั้งด้านพลังงาน เทคโนโลยี คริปโตเคอร์เรนซี อสังหาริมทรัพย์ และ Private Capital เป็นอย่างไรบ้าง มาดูกัน
พลังงาน
ปีนี้อาจจะเป็นยุคใหม่ของพลังงาน ซึ่งเป็นการแบ่งตลาดน้ำมันออกเป็นสองฝ่าย ทั้งนี้ในสามทศวรรษที่ผ่านมา ภาคพลังงานโดยเฉพาะน้ำมัน มักจะมีแนวโน้มไหลไปยังตลาดที่ขายได้ราคาสูง แต่การคว่ำบาตรการส่งออกน้ำมันรัสเซียของยุโรปและสหรัฐจะเป็นจุดเปลี่ยนนี้ ตลาดน้ำมันจะแบ่งออกเป็นโลกตะวันตกและตะวันออก
การส่งออกพลังงานของรัสเซียที่เคยส่งออกไปยุโรป จะเปลี่ยนไปยังอินเดียและจีนแทน ส่วนการส่งออกของสหรัฐฯ จะเปลี่ยนเป้าหมายไปยุโรปแทน การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะส่งผลต่อราคาน้ำมันในปีนี้และปีต่อๆ ไป
นอกจากนี้สหรัฐฯ และยุโรปมีกฎหมายเพื่อควบคุมปัญหาสภาพภูมิอากาศและการปล่อยมลพิษเข้มงวดขึ้น ดังนั้นปีนี้น่าจะมีการฟ้องร้องมากขึ้น แรงกดดันต่างๆ ก็จะส่งผลต่อการวางแผน การดำเนินงาน และรายได้ของบริษัทพลังงานแน่นอน
ส่วนที่น่าจับตาอีกอย่างคือบริษัทน้ำมันและแก๊สใหญ่ๆ ของตะวันตกจะดำเนินการปฏิบัติเกี่ยวกับการดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาสภาพอากาศหรือไม่ เรื่องพลังงานฟอสซิลจะได้รับแรงกดดันมากแค่ไหน
ทั้งนี้วิกฤติพลังงานจากปีที่แล้วก็ส่งผลต่อความกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงด้านพลังงาน ดังนั้นกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ก็อาจเอาเรื่องนี้มาเป็นเหตุผลในการลงทุนน้ำมันและแก๊สในช่วงเปลี่ยนผ่านไปเป็นพลังงานสะอาดได้
เทคโนโลยี
สำหรับเทคโนโลยี ส่วนที่ได้รับความนิยมและได้รับการพูดถึงมากคือเรื่องปัญหาประดิษฐ์หรือ AI (Artificial intelligence) มีเม็ดเงินไหลเข้าภาคส่วนนี้จำนวนมาก แน่นอนว่าการแข่งขันก็เข้มข้นเช่นกัน มันน่าจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของพื้นฐานคอมพิวเตอร์อย่างแน่นอน
ยกตัวอย่างคือ ChatGPT ของ OpenAI ที่เปิดตัวเมื่อปลายปี 2022 และสร้างกระแสฮือฮาไปทั่วโลก มันเป็นตัวอย่างที่สามารถแสดงให้เห็นว่ามนุษย์สามารถทำงานร่วมกับคอมพิวเตอร์อย่างไร ในปีนี้จะมีการขยายขอบเขตการพัฒนาเทคโนโลยีและการนำไปใช้อย่างแน่นอน รวมไปถึงการผลิตวิดีโอและเสียง การทำงานต่างๆ การสื่อสารและความบันเทิงต่างๆ
บุคคลที่น่าจับตามองในสายเทคโนโลยีก็คือ Elon Musk ที่เราคุ้นเคยกันดี เขาได้รับเลือกให้เป็นบุคคลด้านเทคโนโลยีที่น่าจับตามองในปี 2023 โดย Financial Times เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่าปีนี้เขาจะนำรถยนต์ไฟฟ้าและ SpaceX เข้ามาเป็นส่วนสำคัญในอุตสาหกรรมได้มากน้อยแค่ไหน
ส่วนที่น่าจับตาคือเศรษฐกิจโลกและการเงิน อย่างที่เราได้เห็นแล้วว่าวิกฤตการเงินของปี 2022 ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อภาคเทคโนโลยี บริษัทต่างๆ ปลดพนักงานเป็นว่าเล่น การลงทุนลดลง รายได้ลดลง หากปีนี้เศรษฐกิจเกิดภาวะถดถอย นั่นจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อภาคเทคโนโลยีเช่นกัน
อสังหาริมทรัพย์
ไม่มีใครคิดว่านี่จะเป็นปีที่ง่ายของอสังหาริมทรัพย์ เพราะตอนนี้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำแล้ว คำถามที่ควรถามคือ ตลาดจะร่วงลงมากแค่ไหน ต่างหาก
ผลกระทบจากดอกเบี้ยที่สูงขึ้นส่งผลต่อผู้เช่าสำนักงาน ร้านค้า คลังสินค้า ซึ่งก็เป็นผลกระทบมาจากการแพร่ระบาดของโควิดด้วยเช่นกัน
ต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น อัตราเงินเฟ้อ และผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย จะสร้างแรงกดดันให้เจ้าของที่ดิน คาดการณ์ว่าการบังคับขายที่ดินต่างๆ จะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีแรก เหตุผลเป็นเพราะเจ้าของที่ดินจะต้องรีไฟแนนซ์เงินกู้ในอัตราที่สูงมาก หรือต้องขายเพื่อเอาเงินมาจ่ายให้นักลงทุนของตัวเองที่ยื่นคำขอไถ่ถอน
ปีที่แล้วในวงการอสังหาริมทรัพย์ มีคำสองคำที่เป็นกระแสมากคือ “stranded assets (สินทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบจากการลดราคา)” และ “zombie offices (อสังหาริมทรัพย์ที่ประสบปัญหากับเงินทุนจนไม่สามารถปรับปรุงอาคารได้ และแข่งขันในตลาดไม่ได้)”
ซึ่งปีนี้เจ้าของตึกต้องเผชิญกับกฎระเบียบใหม่เพื่อปรับปรุงอาคารให้เป็นไปตามกฎใหม่ แต่แน่นอนว่าตอนนี้เศรษฐกิจย่ำแย่ ดังนั้นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ก็ต้องได้รับแรงกดดันจากทั้งกฎหมายและเงินทุน
Private Capital
สิ่งที่ต้องจับตามองอีกอย่างก็คือบรรดากองทุนต่างๆ ว่าจะมีทิศทางหรือการดำเนินการอย่างไร สำหรับบริษัทใหญ่ๆ อย่าง Blackstone, CVC และ KKR พวกเขาเหล่านี้มีทุนสำรองเยอะมาก สามารถอยู่ได้อีกหลายปีเพื่อรอการเปลี่ยนแปลงในตลาด
บริษัทที่มีพอร์ตที่เป็น Leverage อาจจะต้องปวดหัวกับอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ส่วนบริษัทที่ลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่เกิดรายได้ (Frozen capital markets) ก็จะยากต่อการขายเพื่อนำเงินทุนกลับ ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาสภาพคล่องได้
บุคคลที่น่าจับตามองคือ Orlando Bravo มหาเศรษฐีผู้ร่วมก่อตั้ง Thoma Bravo ซึ่งมีความสามารถในการระดมทุนและตัดสินใจลงทุนได้อย่างรวดเร็ว บริษัทของเขาสามารถระดมทุนได้มากกว่า 55 พันล้านดอลลาร์ในระยะเวลาประมาณ 2 ปี
ปีที่แล้วเขาตัดสินใจซื้อบริษัทจดทะเบียน 7 แห่งทันทีนับตั้งแต่รัสเซียเริ่มทำสงครามเต็มรูปแบบกับยูเครน ซึ่งปีนี้เขาจะต้องแสดงให้เห็นว่าการตัดสินใจนั้นไม่ผิดพลาดเพราะตอนนี้อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นนั้นส่งผลกระทบต่อการประเมินมูลค่าหุ้นบริษัทเทคโนโลยีซึ่งมักจะสวนทางกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายนั่นเอง
คริปโตเคอร์เรนซี
ภาคส่วนที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้คือคริปโตคอร์เรนซีที่ร้อนแรงมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ที่ได้รับการพูดถึงอย่างมากก็คือการล่มสลายของผู้เล่นรายใหญ่อย่าง Terra/LUNA และ FTX
แน่นอนว่าการล่มสลายของ FTX ได้ทำลายความเชื่อมั่นของจุดเด่นหนึ่งของอุตสาหกรรมคือ การกระจายอำนาจ (decentralized) และแน่นอนว่าเรื่อง decentralized นี้ก็ยังคงต้องถูกตั้งคำถามต่อไปในปี 2023
อีกอย่างที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการล่มสลายของ FTX ก็คือกฎระเบียบของหน่วยงานต่างๆ เพื่อยืนยันว่าภาคส่วนคริปโตเป็นมีความมั่นคงจริงๆ หรือไม่ กระดานเทรดต่างๆ ก็พากันออกมายืนยันสินทรัพย์ที่เรียกว่า Proof of Reserve เพื่อสร้างความมั่นใจให้ลูกค้า อย่างเช่น Binance เองก็ออกมายืนยันว่าตัวเองมีสินทรัพย์กว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์และเพียงพอต่อการถอนเงินของลูกค้า
แต่อย่างไรก็ตาม Binance เองก็ไม่มีการชี้แจงหนี้สิน ดังนั้นมันจึงยากต่อการยืนยันสถานะทางการเงินของ Binance และแน่นอนว่าทั่วตลาดเต็มไปด้วยความกังวลของนักลงทุน Binance ซึ่งเป็นกระดานเทรดที่ใหญ่ที่สุดในโลกจึงได้รับการจับตาและตั้งคำถามถึงความมั่นคงอย่างมาก
อีกอย่างคือราคาของคริปโตเคอร์เรนซีในตลาดที่ร่วงลงอย่างหนัก ตัวอย่างหลักคือเหรียญพี่ใหญ่ในวงการอย่าง Bitcoin ที่ราคาร่วงลงกว่า 70% จากราคา All Time High เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ส่วน Altcoins อื่นๆ อาการสาหัสกว่านี้พอสมควร
ซึ่งนักวิเคราะห์หลายคนก็มองว่านอกจากความเชื่อมั่นลดลงของนักลงทุนจากการระส่ำระสายของวงการแล้ว มันก็เป็นผลมาจากเศรษฐกิจโดยรวมด้วย ทั้งนี้ผลสำรวจในเดือนธันวาคมของนักเศรษฐศาสตร์จาก Initiative on Global Markets ที่ University of Chicago Booth School of Business ร่วมกับ Financial Times พบว่าผู้เข้าร่วมตอบแบบสอบถาม 85% คาดว่าสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีหน้า ส่วนผลกระทบจากราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นในยุโรปก็จะทำให้ภาวะเศรษฐกิจถดถอยหนักขึ้นไปอีก
ทั้งนี้ Bitcoin เกิดขึ้นเมื่อปี 2009 หลังจากวิกฤตเศรษฐกิจใหญ่ นั่นแปลว่ามันยังไม่เคยเจอเศรษฐกิจหนักๆ เลยสักครั้ง
หากเศรษฐกิจในปีนี้แย่จริง สินทรัพย์เสี่ยงอย่างคริปโตก็จะได้รับผลกระทบหนัก นั่นเพราะหากอัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้นมันจะดึงสภาพคล่องออกจากระบบเศรษฐกิจ สินทรัพย์เสี่ยงก็จะได้รับผลกระทบหนัก เหตุการณ์ลักษณะนี้ยังส่งผลต่อหุ้นเทคด้วยเช่นกัน เช่น Meta (-67%), Netflix (-52%) และแม้กระทั่ง Apple (-22%)
ดังนั้นสำหรับคำถามที่ว่า ฤดูหนาวของคริปโตจะอยู่อีกนานแค่ไหน ประเด็นหลักที่ต้องจับตามองก็คือนโยบายการเงินของ Fed หากมีการลดอัตราเงินเฟ้อและลดอัตราดอกเบี้ย สถานการณ์ของคริปโตเคอร์เรนซีก็จะค่อยๆ ดีขึ้นตามไปด้วย
ส่วนการคาดการณ์ราคาของผู้เชี่ยวชาญในตลาดก็มีทั้งแง่บวกและแง่ลบ อย่างเช่น Tim Draper นักลงทุนชื่อดังที่บอกว่ากลางปีนี้ Bitcoin จะมีราคา 250,000 ดอลลาร์ ส่วนอาจารย์มหาวิทยาลัยอย่าง Carol Alexander คาดว่าอาจมีราคา 50,000 ดอลลาร์ ในขณะที่นักลงทุนรุ่นเก๋าอย่าง Mark Mobius คาดว่าจะร่วงลงไปที่ 10,000 ดอลลาร์ ส่วนบริษัทด้านการเงิน Standard Chartered คาดว่า Bitcoin จะราคาร่วงลงไปที่ 5,000 ดอลลาร์เลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มเหล่านี้ก็เป็นเพียงการคาดการณ์เท่านั้น ไม่มีใครยืนยันได้ว่ามันจะถูกหรือผิด แต่มันก็เป็นการย้ำเตือนให้เราจับตามองเรื่องราวต่างๆ อย่างใกล้ชิดเพื่อเตรียมรับมือสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น