KEY TAKEAWAYS
- Anchoring Bias คือการยึดติดกับข้อมูลที่เห็นก่อนเป็นครั้งแรก เมื่อต้องตัดสินใจก็จะเอาข้อมูลแรกเป็นจุดอ้างอิง
- Sunk Cost ต้นทุนจม ต้นทุนที่เสียไปแล้วไม่ควรนำมาพิจารณาในการลงทุนครั้งต่อไป
- Confirmation Bias คือการเสพข้อมูลทางเดียว เพื่อยืนยันสิ่งที่ตัวเองเชื่อ
- Overconfidence หรือความมั่นใจมากที่เกินไป ทำให้เราลงทุนโดยประเมินความเสี่ยงน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
- Loss Aversion คือความเกลียดชังการสูญเสีย ซึ่งจะทำให้เรากลัวมากเกินไปจนพลาดโอกาสได้
- Familiarity Bias อคติทางความคุ้นเคย ที่จะทำให้เราเลือกลงทุนในสิ่งที่คุ้นเคยเป็นหลัก แม้ว่าบางครั้งสิ่งนั้นอาจจะไม่ได้ให้ผลตอบแทนที่ดีอีกต่อไปแล้วก็ตาม
- Herding Behavior เป็นพฤติกรรมที่คนมักจะทำตามๆ กัน ทำให้เกิดการลงทุนตามกระแส โดยอาจจะไม่ได้หาข้อมูลอื่นใดมาประกอบ
ถ้าพูดถึงเรื่องการลงทุนหลายๆ คนน่าจะนึกถึงเรื่องของตัวเลข การวิเคราะห์ การประเมินความเสี่ยง การบริหารพอร์ตต่างๆ แต่จริงๆ แล้วนอกเหนือไปจากเรื่องของการวิเคราะห์เชิงตัวเลขเหล่านี้แล้ว มีอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันซึ่งนั้นก็คือเรื่องของ ‘จิตวิทยาการลงทุน’
ที่นักลงทุนมือเก๋าหรือมือใหม่ที่เริ่มลงทุนมาสักระยะหนึ่งจะรู้กันดีว่าเรื่องของจิตวิทยาการลงทุน นั้นสำคัญมาก ในบทความนี้เราเลยจะมาพูดถึง 7 จิตวิทยาสำคัญที่อาจทำให้นักลงทุนไขว้เขวในการตัดสินใจได้ และวิธีการหลีกเลี่ยงเพื่อให้มันมันมีผลกับการตัดสินใจของเราน้อยลง
Anchoring Bias | อคติในการยึดติดกับข้อมูลที่ได้รับ
Anchor ที่แปลตามความหมายได้ว่า สมอเรือ ที่ใช้ยึดติดเรือให้อยู่กับที่ไม่ไปไหน ซึ่งตรงกับพฤติกรรมของมนุษย์ที่หลายครั้งเรามักจะยึดติดอยู่กับ “ข้อมูล” บางอย่างที่เราได้รับมา เช่น ถ้าเราเคยเห็นว่านาฬิกาเรือนหนึ่งเคยตั้งขายอยู่ที่ 100,000 บาท เราก็จะจดจำว่านาฬิกาเรือนนี้รุ่นนี้ต้อง 100,000 บาท และเมื่อมันลดราคาลงมาเหลือ 70,000 บาท เราก็จะรู้สึกว่ามันถูกจังแบบนี้ต้องรีบซื้อแล้วล่ะ
ซึ่งอาจจะทำให้เราไม่ได้ประเมินมูลค่าจริงๆ ของนาฬิกาเรือนนั้นว่ามันควรที่จะราคา 70,000 บาท จริงๆ ไหม หรือมันเคยขายที่ 100,000 บ้างหรือเปล่า หรือเขาแค่ตั้งราคาสูงไว้เพื่อจัดโปรโมชั่น
หรืออย่างในงานทดลองชิ้นหนึ่งของ นักจิตวิทยาชาวอิสราเอลแดเนียล คาห์นะแมน (Daniel Kahneman) และเอมอส ทเวิร์สกี (Amos Tversky) ที่ได้ทำการทดลองเกี่ยวกับ Anchoring Trap ว่าสิ่งนี้มีผลต่อการตัดสินใจของเราจริงหรือไม่
โดยผู้เข้าร่วมการทดลองจะถูกถามว่า มีประเทศในทวีปแอฟริกาที่เป็นสมาชิกของ United Nations (UN หรือ องค์การสหประชาชาติ) อยู่ทั้งหมดกี่เปอร์เซ็นต์ แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ไม่รู้เปอร์เซ็นต์ที่ถูกต้องอย่างแน่นอน แต่ก่อนที่จะให้เดาคำตอบ เขาได้ให้ผู้เข้าทดลองหมุนวงล้อที่มีเลข 10 และ 65
ผลปรากฎว่ากลุ่มผู้เข้าทดลองที่หมุนวงล้อได้เลข 10 จะเดาคำตอบเฉลี่ยอยู่ที่ 25 ในขณะที่กลุ่มที่หมุนวงล้อได้ 65 จะเดาคำตอบเฉลี่ยอยู่ที่ 45 นั่นหมายถึงผู้เข้าทดลองทั้งสองกลุ่มนี้ติดกับตัวเลข 10 และ 65 ที่พวกเขาเจอก่อนที่จะเดาคำตอบนั่นเอง
แน่นอนว่าความลำเอียงแบบนี้ถ้าเกิดขึ้นกับการตัดสินใจซื้อนาฬิกาหรือข้อมูลประเทศก็คงจะไม่มีผลอะไร แต่ถ้ามันเกิดขึ้นกับการลงทุนของเราแล้วล่ะก็คงไม่ใช่เรื่องดีนัก
ตัวอย่างเช่นในวงการคริปโต กระดานเทรดยักษ์ใหญ่อันดับสองของโลกอย่าง FTX ที่มีเหรียญ FTT เป็น Native Token (เหรียญหลักของระบบ) ที่เคยซื้อขายกันที่ 30 ดอลลาร์ ไม่กี่วันก่อนที่จะประกาศล้มละลาย ถ้าเราเข้าซื้อในจุดนั้น และปล่อยให้ Anchoring Bias บังตาเรา เราก็จะอาจจะคิดว่าเดี๋ยววันหนึ่งมันก็อาจจะกลับมาเพราะตอนที่เราซื้อนั้น เขาซื้อขายกันที่ 30 ดอลลาร์ และก่อนหน้านั้น FTT ก็ยังเคยมีราคาถึง 84 ดอลลาร์มาแล้วด้วย แต่อย่างที่เรารู้กันว่าตอนนี้ FTT คงไม่กลับมาแล้ว
ตัวอย่าง FTX อาจจะดูสุดโต่งไปบ้าง แต่ถ้ายกตัวอย่างอีกเหรียญที่เราคุ้นเคยกันดีอย่าง LUNA แล้วล่ะก็ หลายคนอาจจะคุ้นเคยมากขึ้น เพราะครั้งหนึ่งเหรียญ LUNA เคยซื้อขายกันอยู่ที่ราคา 119 ดอลลาร์ และมีผู้ชื่นชอบโปรเจกต์นี้อยู่ทั่วโลก แต่หลังจากที่ความผิดพลาดของการออกแบบระบบเผยออกให้เห็น ราคาก็รูดลงอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่ามีคนที่ตัดสินใจขายในทันที แต่ก็มีอีกหลายคนที่สูญเสียเงินจากการเข้าไปช้อนซื้อ เพราะเชื่อว่ามันจะกลับมา และสำหรับคนที่ยังถือไว้นั้นมูลค่าก็หายไปเกือบจะ 100%
วิธีหลีกเลี่ยง : การลงทุนทุกอย่างนั้นเราควรพิจารณาข้อมูล ณ ตอนที่เราพิจารณา (Mark to the market) “โดยไม่อิงต้นทุนว่าเราซื้อมาเท่าไหร่” อย่าติดกับดักของ anchoring trap ด้วยการยึดติดกับราคาที่เราซื้อมา เช่น ถ้าเหตุการณ์เปลี่ยน บริษัทไม่ได้ดีเหมือนอย่างเคย แต่เรายังดันทุรังเชื่อว่าหุ้นที่เราซื้อจะกลับมาที่ราคาที่เราเคยซื้อ โดยที่เราไม่สามารถหาข้อมูลมาซัพพอร์ตได้เลย ก็อาจจะทำให้เราตัดสินใจไม่ขาย หรือหรือพลาดโอกาส Cutloss (การยอมขายขาดทุนก่อนที่จะขาดทุนไปมากกว่านี้) และขาดทุนหนักได้
Sunk Cost | อคติต้นทุนจม
ขอยกตัวอย่างที่ทุกคนน่าจะเห็นภาพได้ดีที่สุดก็ คือ เรื่องการดูหนัง สมมุติว่าเราอยากที่จะดูหนังเรื่องหนึ่งมาก และในที่สุดเราก็ตัดสินใจซื้อตั๋วหนังที่อยากดูมาในราคา 300 บาท และหลังจากเข้าไปดูได้ครึ่งเรื่องเราก็ได้พบว่าหนังเรื่องนี้ไม่สนุกเอาเสียเลย…
แต่เราก็ยังพยายามที่จะนั่งดูอยู่แบบนั้นจนจบโดยที่ไม่ลุกออกไป เพราะเรารู้สึกว่าเราได้จ่ายเงินเข้ามาแล้ว และเราก็ดูมาตั้งครึ่งเรื่องแล้วด้วย ไหนๆ ก็ขอดูให้จบเลยละกัน
ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้เองที่เรียกว่า ‘Sunk Cost’ หรือ ‘คติต้นทุนจม’
เพราะตั๋วหนังที่เราเสียไปแล้ว 300 บาท นั้นยังไงก็ไม่มีทางได้คืน (Sunk Cost) แต่เวลาอีก 60 นาที จากหนังครึ่งเรื่องที่ไม่สนุกนั้นเรายังเอาไปทำอย่างอื่นได้นั่นเอง
ในเชิงของการลงทุนบางครั้งเราก็อาจจะมีความคิดนี้เข้ามาในหัวได้โดยไม่รู้ตัวด้วยเช่นกัน เช่น เราได้เข้าไปซื้อเหรียญตัวหนึ่งสมมุติว่าชื่อ LUNER และเราเข้าซื้อในราคา 100$ หลังจากนั้นไม่นานหลังจากเราซื้อก็เริ่มมีข่าวไม่ดีออกมา เกี่ยวกับช่องโหว่และปัญหาของอัลกอริทึมที่เสี่ยงทำให้โปรเจกต์พังได้เลย ส่งผลให้ราคาลดลงมาอยู่ที่ 50$ แล้ว ทำให้ในตอนนี้เราขาดทุนไปแล้ว 50$
คำถาม คือ เราจะตัดขายตอนนี้ หรือ ถือไว้เพื่อรอราคามันกลับมา (ซึ่งกลับหรือไม่ก็ยังไม่รู้) แต่ไม่ว่าเราจะเลือกทางไหนก็ตาม ถ้าหากเราตัดสินใจโดยเอาต้นทุนที่ได้เสียไป 50$ มาคิดหรือให้น้ำหนักด้วยนั้นหมายถึงเรากำลังติดอยู่กับ Sunk Cost นั้นเอง
เพราะ 50$ ได้คืนหรือไม่ก็ไม่รู้ และถ้าโปรเจกต์นั้นชื่อ LUNA ด้วยละก็ไม่ได้คืนแน่ๆ แต่อีก 50$ นั้นยังเป็นเงินของเรา ซึ่งสามารถเอาไปลงทุนอย่างอื่นได้
ด้วยอคติแบบนี้นี่เองที่บางครั้งก็ทำให้นักลงทุนพลาดโอกาสในการลงทุนหุ้น หรือเหรียญอื่นๆ ที่น่าสนใจ เพียงเพราะว่าไม่อยากสูญเสียต้นทุนเหล่านั้นไปฟรีๆ (ทั้งๆ ที่เสียไปแล้ว)
วิธีหลีกเลี่ยง : ใช้วิธีเดียวกับ Anchoring Bias ได้เลย คือประเมินทุกอย่าง ณ ปัจจุบัน โดยพยายามอย่าให้น้ำหนักกับเงินที่ได้เสียไปแล้ว หรือตัวเลขที่กำลังติดลบอยู่ของพอร์ตหรือ Position
Confirmation Bias | อคติจากการพยายามยืนยันข้อมูลของตนเอง
‘ใครๆ ไม่ก็อยากรู้สึกว่าตัวเองคิดผิด’ เพราะทุกครั้งที่เราคิดผิดเราคงไม่ได้รู้สึกดี แต่เราจะรู้สึกแย่ว่าเพราะอะไรกันนะฉันถึงผิด หรือบางทีเราก็อาจจะกลัวเสียหน้า หรือรู้สึกว่าเราไม่เก่ง ทำให้หลายครั้งเมื่อเราต้องตัดสินใจ หรือโต้เถียงในห้องประชุม แทนที่เราจะหาข้อมูลมาเพื่อช่วยในการตัดสินใจให้ดีที่สุด เรากลับหาข้อมูลมายืนยันว่า ‘ตัวเราเองนั้นคิดถูก’
พฤติกรรมนี้ทำให้นักลงทุนมองข้ามข้อเท็จจริงอันหลากหลายที่อาจจะมีประโยชน์ต่อการตัดสินใจ เพียงเพราะว่ามันไม่ตรงกับความเชื่อของตนเอง และส่งผลให้ผู้ลงทุนมีความมั่นใจมากเกินไป และยึดติดอยู่กับบริษัทหรือโปรเจกต์ (เหรียญ) เพียงไม่กี่อัน แน่นอนว่ามันค่อนข้างเสี่ยง และในขณะเดียวกันเราก็พลาดโอกาสอื่นๆ เพราะเราคิดว่า ‘ที่เราเลือกมานี้ดีสุดแล้ว ไม่มีดีกว่านี้หรอก’ และหาข้อมูลมายืนยันว่าตัวเองคิดถูกไปเรื่อยๆ
วิธีหลีกเลี่ยง : พยายามฝึกตัวเองให้เป็นคนที่ไม่ถามข้อมูลเพื่อยืนยันความคิดของตัวเอง แต่จงถามเพื่อมองหาข้อเท็จจริง พยายามเปิดรับความคิดเห็นที่ตรงกันข้าม โดยเฉพาะคนที่เห็นต่างจากเราดูบ้าง หรือความคิดที่เราอาจจะไม่เห็นด้วยเลยแม้แต่น้อย และมาพิจารณาให้ดีว่าเราพลาดอะไรไปหรือเปล่า
การฝึกลด Confirmation Bias จะทำให้เราสามารถที่จะประเมินมูลค่าของการลงทุน บริษัท และโปรเจกต์ต่างๆ ด้วยความคิดที่เป็นกลางได้ดีมากขึ้น
Overconfidence | มั่นใจเกินไป
อันที่จริงพฤติกรรมแบบมั่นใจมากเกินไปนี้ไม่เพียงพบในหมู่นักลงทุนเท่านั้น แต่ยังพบกระจายอยู่ทั่วไปในทุกสาขาอาชีพ เคยมีการศึกษาเกี่ยวกับความมั่นใจชิ้นหนึ่งที่ชื่อว่า ‘Confidence in the recognition and reproduction of words difficult to spell’ (ความมั่นใจในการจดจำและสะกดคำยาก)
โดยให้ผู้เข้าร่วมการทดลองจำคำก่อนที่จะทดสอบ โดยส่วนมากผู้เข้าร่วมทดลองมักจะบอกว่าตนเองนั้นสามารถที่จะสะกดคำยากเหล่านั้นได้ถูกต้อง 100% แต่หลังจากการทดสอบผลปรากฎว่า ผู้เข้าทดลองสามารถสะกดคำได้ถูกต้องเพียง 80% เท่านั้น แน่นอนว่ามีการทดลองในลักษณะนี้อีกจำนวนมากที่บ่งชี้ว่า ‘เรามักจะประเมินตัวเองสูงหรือต่ำเกินไปเสมอ’ เมื่อเทียบกับความสามารถที่แท้จริงของเรา
“ความมั่นใจเป็นเรื่องดี แต่ถ้ามากเกินพอดีก็อันตราย”
ยกตัวอย่างเช่น เราไปเจอหุ้นตัวหนึ่งและเรารู้สึกว่าเรามั่นใจมากๆ จนทุ่มแบบหมดหน้าตัก พร้อมกับใช้ Leverage หรือ Margin หนักๆ แน่นอนว่าถ้าเราคิดถูกเราก็จะรวยแบบเปลี่ยนชีวิตในชั่วข้ามคืนได้เลย แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าเราผิดนั้นหมายถึงหายนะ เพราะเราอาจจะสูญเสียจนหมดตัว
วิธีหลีกเลี่ยง : ทุกครั้งที่เรากำลังรู้สึกมั่นใจมากๆ ในการลงทุน ให้เราลองถามตัวเองดูว่า สัดส่วนในการลงทุนครั้งนี้ถ้าเกิดผิดพลาดจะเกิดอะไรขึ้น เราจะรับได้ไหม หรือถ้าเราใช้ความเสี่ยงมากๆ เรามีเหตุผลที่ดีมากพอไหมที่จะไม่บาลานซ์ความเสี่ยงใหม่
Loss Aversion | ความเกลียดชังการสูญเสีย
ในโลกของการลงทุน ไม่มีการลงทุนไหนที่ไม่เสี่ยง เพราะแม้แต่คนที่เก่งที่สุดในโลกของการลงทุนก็ยังเคยพลาดและสูญเสีย แต่จะมีบางครั้งที่นักลงทุนไม่สามารถยอมรับการขาดทุนหรือสูญเสียเงินทุนบางส่วนไปได้เลย นั่นคืออาการ Loss Aversion
ซึ่งเป็นความรู้สึกที่เราจะทุกข์ใจหากเสียเงิน มากกว่าความสุขที่เราได้รับเงิน พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็ คือ ‘การไม่เสีย 100 ดอลลาร์ ดีกว่าการได้รับ 100 ดอลลาร์’
พฤติกรรมนี้ค้นพบโดยสองนักจิตวิทยา แดเนียล คาห์นะแมน (Daniel Kahneman) และเอมอส ทเวอร์สกี (Amos Tversky) ซึ่งสรุปงานวิจัยของพวกเขาออกมาเป็นแนวคิดสั้นๆ ว่า “การสูญเสียยิ่งใหญ่กว่าการได้รับ (losses loom larger than gains” (Kahneman & Tversky, 1979))”
ทฤษฎีดังกล่าวอธิบายได้ด้วยกราฟนี้
จะเห็นได้ว่าเงินจำนวน 100 ดอลลาร์จะส่งผลต่อความรู้สึกเราไม่เท่ากันในกรณีที่สูญเสียและในกรณีที่ได้รับ หากเราได้รับเราจะรู้สึกมีความสุขประมาณหนึ่ง แต่ถ้าหากเราสูญเสียเงิน 100 ดอลลาร์ ที่เราเคยเป็นเจ้าของ เราจะรู้สึกมีความทุกข์มากกว่าการได้รับประมาณสองเท่า
Loss Aversion สามารถส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของเรา ความกลัวที่จะสูญเสียอาจปิดกั้นเราจากความเสี่ยงที่คำนวณมาอย่างดีว่าการลงทุนนี้คุ้มที่จะเสี่ยงและมีโอกาสที่จะสร้างกำไรอย่างมากให้กับเรา
วิธีการหลีกเลี่ยง : วิธีการหลีกเลี่ยงในข้อนี้ค่อนข้างคล้ายกับเวลาที่เรามั่นใจมากเกินไป เพราะในกรณีของ Loss Aversion เราก็กำลังกลัวมากเกินไป ฉะนั้นลองพิจารณาเรื่องความเสี่ยงให้มาก ดูว่าเรารับได้ไหม ถ้าเราสูญเสียเราจะเป็นอย่างไร ถ้าเราพลาดเรายังไปต่อได้ไหม
Familiarity Bias | อคติจากความคุ้นเคย
งานวิจัยของชิพ ฮีท (Chip Heath) และเอมอส ทเวิร์สกี (Amos Tversky) ได้ทดลองให้ผู้คนเลือกพนันในสองตัวเลือก และก็พบคนเรามักจะมีแนวโน้มที่จะเลือก ‘พนันกับสิ่งที่คุ้นเคยมากกว่า’ แม้ว่าโอกาสชนะต่ำกว่าก็ตาม
นั่นเป็นเพราะว่าการคิดวิเคราะห์ สิ่งใหม่ๆ ที่ไม่คุ้นเคยนั้น เป็นเรื่องยากที่ใช้พลังงานมาก นักลงทุนส่วนใหญ่จึงมักโน้มเอน ศึกษาและลงทุนในสิ่งที่คุ้นเคยมากกว่า เช่น หุ้นที่เคยเห็นมาก่อน เหรียญที่เคยใช้มาก่อน หรือสินค้าที่เราเคยใช้ แน่นอนว่าก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรอะไร และหลายครั้งก็เป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ เพราะสิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นสิ่งที่เราเข้าใจมากกว่าคนอื่นๆ ในตลาด เพราะเราคุ้นเคย และเคยใช้บริการ ทำให้การประเมินต่างๆ ทำได้ง่ายขึ้น
แต่… ถ้าเราเลือกการลงทุนจากสิ่งที่คุ้นเคยเป็นหลัก และสิ่งที่เราคุ้นเคยนั้นไม่ใช่อุตสาหกรรมที่มีอนาคตอีกต่อไปแล้วล่ะ
วิธีหลีกเลี่ยง : อย่างแรกเลยคือเราต้องยอมรับให้ได้ก่อนว่า ‘สิ่งที่คุ้นเคย’ ไม่เท่ากับ ‘ดี’ เสมอไป และลองเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ลองศึกษาในอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ไม่คุ้นเคยดูบ้าง เพราะบางครั้งโอกาสก็อาจจะอยู่นอกวงจากสิ่งที่เรารู้สึกคุ้นเคย
Herding Behavior | การทำตามฝูงชน
ถ้าหากว่าเรากำลังเดินผ่านร้านอาหารสักหนึ่งแห่ง และเห็นว่ามีคนต่อแถวเข้าคิวและมุงกันอยู่ เป็นธรรมดาที่เราจะต้องเผลอคิดไปในใจว่า ‘ร้านนี้ต้องอร่อยแน่’ แม้ว่าเราจะไม่เคยกินร้านนั้น และไม่มีข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับร้านนั้นเลย ซึ่งพฤติกรรมทางจิตวิทยานี้เองที่เรียกว่า Herding Behavior หรือ ‘พฤติกรรมการทำตามฝูงชน’
และบางครั้งนักลงทุนเองก็มีพฤติกรรมการทำตามฝูงชนด้วยเช่นกัน (ทั้งที่จงใจตามและตามโดยไม่รู้ตัว) ซึ่งหลายคนน่าจะเคยเห็นกันมาบ้างแล้ว เช่น กับหุ้นหรือเหรียญตัวที่เป็นกระแสมากๆ แล้วคนก็แห่เข้าไปซื้อ เข้าไปไล่ราคากัน เพราะรู้สึกว่า ‘ใครๆ ก็ทำกัน’ หรือ ‘ใครๆ ก็ซื้อตัวนี้’
ยิ่งถ้ามีแรงเชียร์จากบรรดาเซียน หรือ influencer ด้วยแล้วล่ะก็ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะการซื้อตามๆ กัน ไม่ว่าจะซื้อตามเซียน ตามคนดัง หรือซื้อตามกระแสนั้น มีโอกาสน้อยมากที่จะทำให้นักลงทุนสามารถกำไรและอยู่ในตลาดได้นาน (ถ้าได้ก็ต้องเรียกได้ว่าโชคดีสุดๆ) เพราะการซื้อตามโดยส่วนใหญ่นั้น ผู้ซื้อแทบไม่มีข้อมูลหรือไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราเข้าซื้อเพราะอะไร จะถือนานแค่ไหน ถ้าเหตุการณ์เปลี่ยนจะทำอย่างไร
วิธีการหลีกเลี่ยง : ถ้าเราเจอหุ้นหรือเหรียญที่รู้สึกว่าตัวนี้ใครๆ ก็เล่น ใครๆ ซื้อ และรู้สึกว่าอยากขึ้นรถมากๆ เพราะกลัวที่จะตกรถ ให้ถามตัวเองเลยว่า เรามีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับสิ่งนี้บ้าง เราวางแผนที่จะเข้าซื้อในราคาไหน ออกเมื่อไหร่ ถ้าผิดพลาดจะทำอย่างไร อย่าเพิ่งรีบกระโดดขึ้นรถโดยที่ไม่รู้ปลายทาง เพราะบางครั้งรถที่เรากำลังจะขึ้นนั้นอาจจะขับพาเราลงเหวก็ได้
ทั้งหมดนี่คือ 7 กับดักทางจิตวิทยาที่นักลงทุนต้องหมั่นสังเกตตัวเองอยู่เสมอๆ ว่าเรากำลังติดกับดักเหล่านี้อยู่หรือไม่ เพราะเรื่องของการลงทุน และเรื่องของจิตวิทยานั้นเป็นเรื่องที่แยกกันไม่ออกจริงๆ
เหมือนกับที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffet) เคยกล่าวไว้ว่า “If you cannot control your emotions, you cannot control your money – ถ้าคุณควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ได้ คุณก็ควบคุมเงินของคุณไม่ได้เช่นกัน”
References: Investopedia(1), Investopedia(2), Investopedia(3), Investopedia(4), Investopedia(5), Morningstar, Thedecisionlab, Currency