KEY TAKEAWAYS
- Silk Road ในวงการคริปโตคือเว็บมืดที่สร้างขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์ที่ผิดกฎหมาย สร้างโดยผู้ที่ใช้นามแฝงว่า Dread Pirate Roberts หรือชื่อจริงก็คือ Ross William Ulbricht
- การปิดเว็บไซต์และจับกุมผู้ก่อตั้งเป็นไปได้ยาก เพราะเว็บไซต์ถูกร้างให้ไม่เปิดเผยตัวตน โดยใช้บราวเซอร์ Tor และนำ Bitcoin มาใช้เป็นช่องทางชำระเงิน
- Silk Road ถูกปิดในปี 2013 มีมูลค่าการซื้อขายบนเว็บไซต์นี้มูลค่ากว่า 1,200 ล้านดอลลาร์
- Ross William Ulbricht ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต ปัจจุบันถูกจำคุกอยู่ในเรือนจำเมืองทูซอน รัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา
หากพูดถึง ‘Silk Road’ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘เส้นทางสายไหม’ คนส่วนใหญ่คงนึกถึงเส้นทางการค้าสำคัญ ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างทวีปยุโรป ประเทศอินเดีย จีน และอีกหลายประเทศในทวีปแอฟริกา-ยูเรเซียนที่เกิดขึ้นในช่วงราชวงศ์ฮั่น (206 ปีก่อนค.ศ. – ค.ศ. 220) แต่นั่นไม่ใช่สำหรับคนในวงการคริปโต โดยเฉพาะกับแฟน bitcoin เพราะ silk road ทำให้พวกเขานึกไปถึงเว็บมืดที่นำ bitcoin มาใช้เป็นช่องทางชำระเงินอย่างผิดกฎหมาย จนมันส่งผลต่อภาพลักษณ์ด้านลบของ bitcoin อย่างมาก ณ ช่วงเวลานั้น
Silk Road คืออะไร?
Silk Road คือชื่อเว็บไซต์ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2011 มันเป็นที่รู้จักในฐานะเว็บมืดที่เป็นช่องทางในการซื้อขายสิ่งของผิดกฎหมาย โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นยาเสพติด แต่ก็มีสินค้าอย่างอื่นในธุรกิจมืดอีกมากมาย เช่น เอกสารอย่างพาสปอร์ตปลอม บัตรประจำตัวเจ้าพนักงานปลอม บริการแฮกแอคเคาท์ หรือแม้กระทั่งบริการจ้างวานนักฆ่า
เว็บใต้ดินที่สร้างขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์อันผิดกฎหมายนี้สร้างขึ้นโดยผู้ที่ใช้นามแฝงว่า Dread Pirate Roberts ซึ่งเป็นตัวละครในนวนิยายเรื่อง The Princess Bride ในภายหลังจึงทราบว่า Dread Pirate Roberts คือนามแฝงของ รอส วิลเลียม อัลบริชท์ (Ross William Ulbricht) ชายชาวอเมริกันวัย 27 ปี (ณ ตอนนั้น) จบปริญญาโท คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียสเตต
ชื่อ Silk Road ตั้งขึ้นมาเพราะ Ulbricht ต้องการให้แพลตฟอร์มนี้ยิ่งใหญ่ไม่ต่างจากเส้นทางสายไหม เส้นทางการค้าที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์โลก และก็เหมือนว่ามันจะประสบความสำเร็จเหมือนดั่งที่ผู้สร้างต้องการ เพราะแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ FBI เองก็ยังบอก Silk Road เป็นตลาดมืดที่ซับซ้อนและกว้างขวางที่สุดบนอินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน
“Anonymous” ไม่เปิดเผยตัวตน เทคโนโลยีที่ทำให้ Silk Road ลึกลับและหาตัวจับยาก
หลังจากเปิดตัวได้เพียงไม่กี่เดือน silk road ก็ดังเป็นพลุแตก ไม่จากเพียงอาชญากรผู้ที่ต้องการซื้อขายสิ่งของผิดกฎหมายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่ต้องการปิดเว็บไซต์ดังกล่าวลงอีกด้วย จุดที่ทำให้มันได้รับความสนใจก็คือจุดเด่นในเรื่อง Anonymous หรือการไม่เปิดเผยตัวตนทั้งผู้ซื้อและผู้ขายนั่นเอง
ลองคิดดูว่าในปัจจุบันเหตุผลที่ใครบางคนไม่ทำผิดกฎหมาย ก็เพราะกลัวบทลงโทษอย่างการปรับเงิน หรือจำคุก แต่หากเราสามารถทำผิดได้โดยไม่มีใครรู้ สิ่งนี้จะดึงจิตใจด้านมืดของผู้คนออกมาได้มากเพียงใด นั่นคือจุดขายที่ silk road นำเสนอ ทั้งข้อมูลของผู้ซื้อและผู้ขายจะไม่สามารถตรวจสอบได้ และ Ulbricht ก็นำความสามารถด้านเทคโนโลยีของเขาสร้างสรรค์มันขึ้นมา
The Onion Router: Tor
เทคโนโลยีที่รันอยู่เบื้องหลังการไม่เปิดเผยตัวตนของ silk road นี้มีหลายอย่าง อย่างแรกคือบราวเซอร์ที่ silk road ใช้คือ Tor มีชื่อเต็มๆ คือ The Onion Router ซึ่งเป็นบราวเซอร์ที่กองทัพเรือสหรัฐฯ พัฒนาและเปิดตัวเมื่อปี 2002 แรกเริ่มใช้เพื่อปกปิดข้อมูลบางอย่างของรัฐบาลสหรัฐฯ แต่ในภายหลังจึงเปิดให้คนทั่วไปใช้งานได้ Tor เป็นบราวเซอร์ที่มีการเข้ารหัสลับหลายชั้น
หลักการทำงานของมันคือเมื่อใช้งาน Tor ข้อมูลที่เราส่งออกจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราจะผ่านเซิร์ฟเวอร์ของ Tor จึงเหมือนกับว่าเซิร์ฟเวอร์นั้นเป็นจุดเริ่มต้นการส่งออกข้อมูล หลังจากนั้นจะมีการเข้ารหัสลับหลายชั้น จนยากที่จะสืบย้อนกลับมาหา IP Address ที่เราใช้งานตั้งแต่ต้น
Bitcoin (BTC)
เทคโนโลยีอีกอย่างที่ silk road นำมาใช้ก็คือการชำระเงินด้วย Bitcoin ในตอนนั้นบิทคอยน์เพิ่งจะปรากฎขึ้นมาสู่โลกได้ประมาณ 2 ปี ผู้คนแทบจะไม่เคยได้ยินชื่อด้วยซ้ำ แต่ Ulbricht ก็ค้นพบความสามารถของมันแล้ว bitcoin เป็นคริปโตเคอร์เรนซีที่รันอยู่บนเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ซึ่งอย่างที่เราทราบกันดีว่ามันมีความเป็นส่วนตัวอย่างมากที่สุด ทุกคนสามารถมองเห็นร่องรอยการทำธุรกรรมบนบล็อกเชนได้ แต่ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นเจ้าของที่อยู่กระเป๋าเงินนั้น
นอกจาก Tor และ Bitcoin แล้ว บน silk road ยังมีการแนะนำวิธีการส่งสินค้า (ซึ่งผิดกฎหมาย) อย่างเช่นวิธีการห่อสินค้า วิธีการจัดส่ง การซุกซ่อนสินค้าและต่างๆ เพื่อให้รอดพ้นจากสายตาของหน่วยงาน ซึ่งวิธีการเหล่านี้ก็นับว่าประสบความสำเร็จมากทีเดียว
วิธีการซื้อขายสินค้าบน Silk Road
อันดับแรกผู้ซื้อต้องแลกเปลี่ยนเงินเฟียท (Fiat currency) ไปเป็น Bitcoin ซึ่งเป็นวิธีการชำระเงินบน silk road เสียก่อน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2011 Bitcoin ซื้อขายกันในราคาประมาณ 36 บาท (1 เหรียญ) Bitcoin จะถูกโอนเข้าไปยังแอคเคาท์ของ silk road จากนั้นเมื่อผู้ซื้อดำเนินการสั่งซื้อสินค้า BTC ก็จะถูกโอนเข้าไปจัดเก็บในบัญชีตัวกลางที่จะถือสินทรัพย์ไว้จนกว่าการซื้อขายจะเสร็จสิ้น (Escrow) เมื่อผู้ขายได้รับคำสั่งซื้อก็จะทำการส่งสินค้าไปยังผู้ซื้อ เมื่อการแลกเปลี่ยนสำเร็จ BTC ในบัญชี Escrow ก็จะถูกโอนไปยังผู้ขาย ผู้ขายก็จะนำ BTC ที่ได้ไปแลกเปลี่ยนเป็นเงิน Fiat ในที่สุด
การสืบสวนและการจับกุมตัว Ross William Ulbricht
Silk Road เป็นเว็บมืดที่ใหญ่ที่สุดได้ประมาณ 2 ปี มันก็ก้าวมาถึงจุดจบ
เดือนตุลาคม 2013 ในขณะที่ Ulbricht กำลังนั่งทำงานอยู่ในห้องสมุดเกล็น พาร์ค (Glen Park) รัฐซานฟรานซิสโก FBI ก็ได้เข้าจับกุมตัวชายผู้เป็นผู้ก่อตั้ง Silk Road ทั้งนี้เนื่องจาก FBI ต้องการหลักฐานเพื่อมัดตัว Ulbricht อย่างแน่นหนา พวกเขาจึงสร้างสถานการณ์ให้เจ้าหน้าที่สองคนแกล้งเป็นคู่รักและทะเลาะกันเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของ Ulbricht หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่อีกคนก็เข้ายึดคอมพิวเตอร์ของ Ulbricht และรวบรวมข้อมูลในคอมพิวเตอร์
เว็บไซต์ silk road เป็นแพลตฟอร์มที่มีมูลค่าการซื้อขายมูลค่ากว่า 1,200 ล้านดอลลาร์ และ Ulbricht ก็ได้ค่าคอมมิชชั่นมากกว่า 79.2 ล้านดอลลาร์ FBI ได้ยึด bitcoin เป็นจำนวน 144,000 BTC ซึ่งในขณะนั้นมีมูลค่าประมาณ 28.5 ล้านดอลลาร์ แต่หากตีมูลค่าตามราคา BTC ปัจจุบัน bitcoin ที่ FBI ยึดไปจะมีมูลค่าสูงถึง 3,400 ล้านดอลลาร์เลยทีเดียว
Ross William Ulbricht ถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาฟอกเงิน, แฮ็คคอมพิวเตอร์, สมรู้ร่วมคิดในการค้ายาเสพติด และพยายามฆ่าคนหกคน เขาถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตโดยไม่รอลงอาญา และในตอนนี้เขาก็กำลังถูกจำคุกอยู่ในเรือนจำเมืองทูซอน รัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา
เว็บไซต์ Silk Road ถูกปิด ในขณะที่ Ross William Ulbricht ผู้ก่อตั้งถูกจับ เป็นการปิดตำนานเว็บมืดที่ใหญ่ที่สุดในโลกอินเทอร์เน็ต แต่ในขณะเดียวกันมันก็ได้ทำให้ความลับของการ ‘ไม่เปิดเผยตัวตน’ ของ Bitcoin เป็นที่รู้จักมากขึ้น และการไม่เปิดเผยตัวตนของ Bitcoin ก็ง่ายที่จะทำให้ผู้คนเชื่อมโยงมันเข้ากับการกระทำที่ผิดกฎหมาย
แต่ทั้งนี้ Bitcoin เป็นเพียงนวัตกรรม เป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพเท่านั้น มันไม่ใช่เครื่องมือที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำเรื่องผิดกฎหมายโดยเฉพาะ การจะนำมันไปใช้ให้เป็นคุณหรือเป็นโทษขึ้นอยู่กับตัวผู้ใช้ เหมือนกับสิ่งอื่นๆ อีกมากที่เราก็เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน
References : Techtarget, Republicworld, Coindesk, Investopedia, Wikipedia, FBI, Sofi