Samuel Altman ซีอีโอของ OpenAI บุรุษผู้โด่งดังในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยเฉพาะในด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งแค่เพียงชื่อของเขาก็ดึงดูดบุคลากรมากมายเข้ามาร่วมงานได้ และถึงกับทำให้เกิดเหตุดราม่าครั้งใหญ่ในวงการ AI เมื่อ Altman ถูกสั่งปลดฟ้าผ่า แต่พนักงานที่เหลือกลับรวมตัวประท้วงและขู่จะลาออกหากไม่แต่งตั้ง Altman กลับมา!!!
Altman เป็นใครกันแน่ ทำไมผู้คนมากมายจึงเลือกที่จะติดตามเขาไป เรามาลองไล่ดูประวัติของเขาไปพร้อมกัน
การศึกษาและชีวิตในวัยเด็ก
Samuel Harris Altman เกิดเมื่อวันที่ 22 เมษายน 1985 ที่ชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ เป็นลูกคนโต โดยมีน้องชาย 2 คน น้องสาว 1 คน บิดาเป็นนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ มารดาเป็นแพทย์ผิวหนัง Altman ใช้เวลาในวัยเด็กแถวชานเมืองของเซนต์หลุยส์ มิสซูรี Altman แสดงความสนใจในเรื่องตัวเลขและการคำนวณตั้งแต่เด็ก อย่างไรก็ตาม เขาก็มีปัญหาในชีวิตอยู่บ้าง เมื่อพบว่าตัวเองเป็นเกย์ตั้งแต่เด็ก และไม่ได้บอกที่บ้านจนถึงช่วงวัยรุ่น Altman เคยให้สัมภาษณ์กับ New Yorker ในปี 2016 ว่า “การโตมาโดยเป็นเกย์ในแถบมิดเวสต์ช่วงปี 2000 ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย”
Altman เข้าศึกษาที่ John Burroughs ซึ่งเป็นโรงเรียนเตรียมมัธยมชั้นเลิศ ซึ่งเขาประกาศต่อทางโรงเรียนว่าเขาเป็นเกย์ และขอให้ครูติดป้าย “Safe Space” ในห้องเรียน เพื่อสนับสนุนนักเรียนที่เป็นเกย์ ซึ่งทางที่ปรึกษาของทางโรงเรียนได้บอกในภายหลังว่า “สิ่งที่ Sam ทำเป็นการเปลี่ยนแปลงโรงเรียนไปเลย”
Altman เข้าศึกษาต่อที่คณะวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford University) แต่เรียนได้เพียง 2 ปี เขาก็ลาออกในปี 2005 โดย Altman ให้สัมภาษณ์กับ The New York Times ในปี 2023 ว่า การเล่นโป๊กเกอร์กับเพื่อนร่วมชั้นมีประโยชน์กว่าการเข้าฟังเลคเชอร์เสียอีก เนื่องจากโป๊กเกอร์สอนวิธีการสังเกตรูปแบบต่าง ๆ ของผู้คน รวมถึงวิธีตัดสินใจจากข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ และเสริมว่า “โป๊กเกอร์เป็นเกมที่ยอดเยี่ยม”
เข้าสู่เส้นทางสตาร์ทอัพ
หลังลาออกจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด Altman ก็ได้ร่วมกับ Nick Sivo และ Alok Deshpande ก่อตั้ง Loopt ซึ่งเป็นแอปที่ให้ผู้ใช้งานสามารถแชร์โลเคชั่นกับเพื่อนได้ โดยเป็นหนึ่งในแอปแรก ๆ ที่ได้รับเงินสนับสนุนจาก Y Combinator ซึ่งเป็นบริษัทบ่มเพาะและผลักดันสตาร์ทอัพ
Loopt ทำสัญญากับผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือรายใหญ่ทั้งหมดในสหรัฐแต่ไม่สามารถสร้างฐานผู้ใช้งานได้ และในเดือนมีนาคม 2012 Green Dot Corporation ก็เข้าซื้อกิจการ Loopt ด้วยราคา 43 ล้านดอลลาร์
หนึ่งเดือนต่อมา Altman ก็ได้ร่วมกับ Jack Altman น้องชายของเขา ก่อตั้งบริษัท Hydrazine Capital โดยระดมทุนได้ 21 ล้านดอลลาร์ ส่วนใหญ่มาจาก Peter Thiel หนึ่งในผู้ก่อตั้ง PayPal และเงินจากการขาย Loopt ของ Altman ก่อนที่บริษัทจะมีมูลค่ามากขึ้น 10 เท่า ในปี 2016
ในอีกด้านหนึ่ง Altman ได้เริ่มทำงานกับ Y Combinator บริษัทผลักดันสตาร์ทอัพ ในปี 2011 ในฐานะพนักงาน part-time ก่อนจะขึ้นเป็นประธานของ Y Combinator ในเดือนกุมภาพันธ์ 2014 แทนที่ Paul Graham และในปี 2016 ด้วยการปรับโครงสร้างภายใน Altman ก็ได้ขึ้นเป็นประธานของ YC Group ซึ่งรวม Y Combinator, YC Continuity และ YC Research เข้าด้วยกัน YC Continuity เน้นลงทุนในบริษัทที่กำลังเติบโต ในช่วงที่ Altman อยู่ในตำแหน่ง Y Combinator เพิ่มจำนวนสตาร์ทอัพที่สนับสนุนถึง 3 เท่า โดยมีบริษัทสตาร์ทอัพชื่อดังมากมายที่ได้รับทุนจากที่นี่ ไม่ว่าจะเป็น Airbnb, Instacart, DoorDash, Reddit และ Twitch
Altman ลงจากตำแหน่งในเดือนพฤษภาคม 2019 เพื่อให้ความสำคัญกับ OpenAI บริษัทใหม่ที่เขาร่วมก่อตั้งขึ้น โดยยังคงเป็นประธานคณะกรรมการที่ Y Combinator อยู่ จนถึงช่วงต้นปี 2020 ที่ Altman ออกจาก Y Combinator โดยสมบูรณ์
หลังจากร่วมก่อตั้ง OpenAI ได้ไม่นาน Altman ก็ได้ร่วมกับ Alex Blania และ Max Novendstern ก่อตั้ง Tools for Humanity ในช่วงปลายปี 2019 และสร้างโปรเจกต์ Worldcoin ซึ่งเปิดตัวในเดือนมิถุนายน 2021 โดยเป็นโปรเจกต์ Web3 ที่จะยืนยันตัวตนบุคคลแบบดิจิทัลเพื่อระบบรายได้พื้นฐานถ้วนหน้า (UBI)
Worldcoin เปิดตัวในวันที่ 24 กรกฎาคม 2023 โดยจะใช้เครื่องสแกนม่านตาที่ชื่อ Orb สแกนม่านตาของผู้ใช้เพื่อสร้างตัวตนดิจิทัลที่เป็นเอกลักษณ์ชื่อว่า World ID ซึ่งจะทำให้แยกมนุษย์กับตัวตน AI บนอินเทอร์เน็ตออกจากกัน และ Worldcoin ยังพัฒนาโทเค็น Worldcoin (WLD) และแอปชำระเงินของตัวเองอย่าง World App ด้วย
Worldcoin สร้างโทเค็น WLD ขึ้นมา 1 หมื่นล้าน WLD โดยแบ่ง 8 ล้าน WLD เป็นรางวัลให้กับคอมมูนิตี โดยมอบให้กับผู้ที่เข้าร่วมสแกนม่านตาและลงทะเบียน World ID กับผู้ให้บริการ Orb สแกนม่านตา
OpenAI กับแชทบอทเปลี่ยนโลก
OpenAI ก่อตั้งขึ้นในปี 2015 จากความร่วมมือของ Altman, Elon Musk, Greg Brockman, Ilya Sutskever และอีกหลายคน โดยตอนแรกก่อตั้งขึ้นในฐานะองค์กรไม่แสวงผลกำไรสำหรับพัฒนา AI เพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ มี Altman และ Musk เป็นประธานร่วม OpenAI ก่อตั้งขึ้นด้วยเงินทุน 1 พันล้านดอลลาร์ จากนักลงทุนมากมาย รวมถึง Altman, Musk, Peter Thiel และ Amazon Web Services
OpenAI ใช้เวลา 2-3 ปีแรกไปกับการเทรน neural network ของตัวเองเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ แต่ความก้าวหน้าค่อนข้างช้า และไม่เห็นวี่แววว่าจะสำเร็จ
ในปี 2017 กลุ่มผู้ก่อตั้งเริ่มจะขาดความเชื่อมั่นว่าบริษัทจะอยู่รอดได้ โดย Altman ระบุว่า “ไม่มีอะไรได้ผลเลย และ Google ก็มีทุกอย่าง ทั้งผู้มีความสามารถ พนักงาน เงินทุน” และการพัฒนาที่ล่าช้านี้นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ช่วงต้นปี 2018 เมื่อ Musk บอกกับ Altman ว่า เขาเชื่อว่า OpenAI “ตามหลัง Google อย่างมาก” และต้องการจะจัดการบริษัทเองเพื่อให้สามารถไล่ทัน Google ได้ ซึ่ง Altman และผู้ร่วมก่อตั้งคนอื่นปฏิเสธ ทำให้ Musk ลาออกจากบริษัทในเดือนกุมภาพันธ์ 2018 โดยให้เหตุผลว่า เกิดจากผลประโยชน์ทับซ้อนกับบริษัท Tesla ของเขาซึ่งกำลังพัฒนาเทคโนโลยี AI เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ OpenAI ประสบปัญหาด้านการเงิน เพราะ Musk เป็นหนึ่งในคนที่สนับสนุนเงินให้กับบริษัท
อย่างไรก็ตาม แม้จะเผชิญปัญหาหลายอย่าง แต่ในเดือนมิถุนายน 2018 OpenAI ก็ได้เปิดตัว GPT-1 ซึ่งเป็นแชทบอทตัวแรกในซีรีส์ GPT โดยเกิดจากการเทรนด้วยข้อความจากหนังสือกว่า 7,000 เล่ม และประกาศจะเปิดตัว GPT-2 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2019 ซึ่งจะมีพัฒนาการอย่างมีนัยสำคัญในด้านความสามารถในการสร้างข้อความหลายพารากราฟที่สอดคล้องกัน โดยได้รับการเทรนด้วยหน้าเว็บกว่า 8 ล้านหน้า แต่การเปิดตัว GPT-2 อย่างเป็นทางการก็ล่าช้าไปจนถึงเดือนพฤศจิกายน 2019 เนื่องจากความกังวลเรื่องการนำไปใช้ในทางที่ผิด หลังจากที่ OpenAI พบว่ามันสามารถสร้างคอนเทนต์ปลอมและเป็นอันตรายออกมาได้ ทำให้ตัดสินใจปล่อยตัว GPT-2 ที่ไม่เต็มรูปแบบออกมาแทน ซึ่งทาง Jack Clark ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายของ OpenAI ระบุว่า “OpenAI ให้ความสำคัญกับการไม่นำเทคโนโลยีไปใช้ในทางที่ผิดหรืออันตราย” อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจเลื่อนการเปิดตัว GPT-2 เวอร์ชันเต็มออกไปทำให้บริษัทถูกโจมตี และบางส่วนกล่าวหาว่าบริษัทปกปิดเรื่องการวิจัยของตนเอง
เนื่องจากการพัฒนา AI จำเป็นต้องใช้เงินมากเพื่อลงทุนกับทรัพยากรคอมพิวเตอร์จำนวนมหาศาล รวมถึงการจ้างพนักงาน และสร้าง AI ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ทำให้ในวันที่ 11 มีนาคม 2019 OpenAI ก็ได้ประกาศว่าจะเริ่มดำเนินงานภายใต้ OpenAI LP ซึ่งเป็น “บริษัทแสวงผลกำไร” เพื่อหาเงินทุนมาสนับสนุนการดำเนินงานของ OpenAI ก่อนที่ Altman จะขึ้นเป็นซีอีโอของ OpenAI ในเดือนพฤษภาคมปี 2019
ในเดือนเมษายน 2019 OpenAI ได้สร้างชื่อครั้งใหญ่ ด้วยการส่ง OpenAI Five เอาชนะ OG ทีมแชมป์โลกของเกมดังอย่าง DotA2 ไปได้อย่างถล่มทลาย โดย AI ดังกล่าวใช้วิธีเรียนรู้ด้วยการลองเล่นเกมซ้ำไปซ้ำมาจำนวนมหาศาลทำให้มีประสบการณ์มากกว่าผู้เล่นทั่วไป พร้อมด้วยปฏิกิริยาตอบสนองที่ไวกว่าปกติ นอกจากนี้ ยังได้เปิดให้ผู้เล่นทั่วไปสามารถแข่งกับ OpenAI Five ได้ และหลังผ่านไป 3 วัน OpenAI Five ก็เอาชนะไปได้ถึง 7,215 ครั้ง เเละพ่ายเเพ้ไป 42 ครั้ง คิดเป็นอัตราชนะ 99.4%
ช่วงฤดูร้อนของปี 2019 ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับ OpenAI เมื่อบริษัทประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ Microsoft โดยจะได้รับเงินทุนรวม 1 พันล้านดอลลาร์ พร้อมกับสามารถเข้าถึง Azure ของ Microsoft ได้ และนั่นทำให้การพัฒนา ChatGPT รุดหน้าอย่างก้าวกระโดด
OpenAI มีความก้าวหน้าอย่างมากในด้าน (LLM) ซึ่งเทรนด้วยเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษรจำนวนมหาศาล เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อคำสั่งที่ผู้ใช้ป้อนเข้าไป และเทรนด้วยการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) ซึ่งคอมพิวเตอร์ใช้เพื่อตอบสนองคำสั่งที่เขียนในภาษามนุษย์แทนที่จะเป็นภาษาโปรแกรม
OpenAI เปิดตัว GPT-3 ในเดือนมิถุนายน 2020 ซึ่งมีความสามารถในการสร้างข้อความชั้นสูง ทำให้สามารถใช้ในการร่างอีเมล บทความ บทกวี และเขียนโค้ดได้ รวมถึงสามารถตอบคำถามที่เป็นข้อเท็จจริงและแปลภาษา
ต่อมา OpenAI ได้ออก DALL-E ในปี 2021 โดยสามารถรับคำสั่งจากผู้ใช้ เช่น “วาดภาพแมวใส่หมวกคาวบอยกำลังประกอบกระดูกไดโนเสาร์” และสร้างเป็นภาพออกมาตามคำสั่งที่ป้อนเข้าไป
และในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2022 OpenAI ก็ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่จะเปลี่ยนโลกไปตลอดกาลอย่าง ChatGPT ซึ่งพัฒนาต่อยอดจาก GPT-3.5 โดยสามารถตอบสนองคำสั่งของผู้ใช้ ตอบคำถาม สร้างคอนเทนต์ เขียนบทความ เขียนเรียงความ มุกตลก คำแนะนำตามสถานการณ์ และบทกวี แต่บางครั้งคำตอบที่ได้ก็ผิดไปจากข้อเท็จจริง เนื่องจาก ChatGPT จะสร้างคำตอบจากความจำของรูปแบบข้อความที่ได้รับการเทรนมา ChatGPT เป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว โดยสามารถดึงดูดผู้ใช้ได้ถึง 1 ล้านรายภายใน 5 วัน และหลังผ่านไป 9 สัปดาห์ ChatGPT ก็มีผู้ใช้รายเดือนแตะ 100 ล้านราย ทำให้เป็นแอปพลิเคชันสำหรับผู้บริโภคที่เติบโตเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์
นอกจากนี้ OpenAI ยังยกระดับ ChatGPT ไปอีกขั้น ด้วย GPT-4 ซึ่งเปิดตัวในเดือนมีนาคม 2023 โดยเปิดให้ใช้แบบระบบสมัครสมาชิกของ ChatGPT Plus โดยรับจำนวนจำกัด GPT-4 เทรนด้วยชุดข้อมูลขนาดใหญ่อย่างไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งประกอบด้วยรูปภาพและข้อความ
Sandhini Agarwal ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายของ OpenAI ระบุว่า GPT-4 สามารถให้คำตอบที่ชั่วร้ายได้มากกว่ารุ่นก่อนหน้า แต่ถูกปรับให้รุนแรงน้อยลงจากอาสาสมัครที่เป็นมนุษย์ OpenAI ยังคงทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ซีรีส์ GPT โดยใช้เทคนิคที่เรียกว่าการเทรนด้วยการแข่งกับฝ่ายตรงข้าม (adversarial training) ซึ่งจะนำแชทบอทหลายตัวมาแข่งกัน โดยแชทบอทตัวหนึ่งจะโจมตีด้วยการส่งข้อความที่เป็นปรปักษ์และบังคับให้อีกตัวให้คำตอบที่ไม่ต้องการ ข้อความที่โจมตีสำเร็จจะถูกบันทึกลงในข้อมูลที่ใช้เทรน ChatGPT เพื่อให้เรียนรู้ที่จะเมินเฉยต่อข้อความคล้ายกันนี้ในอนาคต
ถูกปลดฟ้าผ่าและปฏิบัติการณ์นำ Altman กลับบ้าน
ในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2023 ก็เกิดเหตุการณ์ช็อกโลก เมื่อ OpenAI แถลงการณ์ปลด Altman ออกจากตำแหน่งอย่างกะทันหัน และแต่งตั้ง Mira Murati ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ OpenAI ขึ้นเป็นซีอีโอชั่วคราว โดยคณะกรรมการของ OpenAI นำโดย Sutskever หัวหน้านักวิทยาศาสตร์และผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI ให้เหตุผลว่า Altman “ไม่ได้สื่อสารกับคณะกรรมการอย่างตรงไปตรงมา” และหลังจากมีประกาศดังกล่าวเพียงไม่นาน Brockman ผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI ก็ได้ประกาศลาออกเพื่อเป็นการประท้วงการตัดสินใจของคณะกรรมการ
อย่างไรก็ตาม มีรายงานออกมาว่า สาเหตุจริง ๆ ที่ Altman ถูกไล่ออกจากบริษัทเป็นเพราะความขัดแย้งระหว่างกลุ่มที่ต้องการดำเนินบริษัทแบบไม่แสวงผลกำไรกับกลุ่มของ Altman ที่ต้องการสร้างผลกำไร โดยฝ่ายแรกนั้นมองว่าการกระทำของ Altman ที่เร่งพัฒนา AI นั้นเสี่ยงและเร็วเกินไป รวมถึงกังวลว่า AI ที่ฉลาดเกินไปจะเป็นอันตรายต่อมนุษย์
ให้หลังเพียง 1 วัน มีรายงานออกมาว่า Altman ได้เดินทางเข้าพบคณะกรรมการของ OpenAI เพื่อหารือเรื่องที่ตัวเขาจะกลับเข้าสู่ตำแหน่งเดิม ซึ่งในตอนแรกทางคณะกรรมการเมินเฉยต่อเสียงของกลุ่มนักลงทุนที่ลงทุนใน OpenAI ที่ต่างเรียกร้องให้บริษัทแต่งตั้ง Altman กลับสู่ตำแหน่ง และได้เริ่มมองหาซีอีโอคนใหม่ โดยมีข่าวว่าได้แต่งตั้ง Emmett Shear อดีตซีอีโอของ Twitch ขึ้นเป็นซีอีโอคนใหม่แล้วด้วย
แต่ความวุ่นวายไม่ได้มีเพียงแค่นั้น เมื่อพนักงาน 500 กว่าคน จากทั้งหมด 770 คน ของ OpenAI ได้ยื่นจดหมายเปิดผนึกแสดงความไม่เห็นด้วยต่อการตัดสินใจปลด Altman ออกจากตำแหน่ง พร้อมกับเรียกร้องให้คณะกรรมการให้เหตุผลที่ชัดเจนของการตัดสินใจดังกล่าว ไม่เช่นนั้นพนักงานอาจจะลาออก ซึ่งในรายชื่อพนักงานนั้น มีชื่อของ Sutskever กับ Murati รวมอยู่ด้วย และสถานการณ์ก็ยกระดับขึ้นเมื่อต่อมาพนักงานเกือบทั้งหมดจาก 770 คน ขู่จะลาออกหากบริษัทไม่แต่งตั้ง Altman กลับสู่ตำแหน่ง
อีกด้านหนึ่ง Satya Nadella ซีอีโอของ Microsoft และหนึ่งในนักลงทุนรายใหญ่ของ OpenAI ก็ประกาศว่าได้แต่งตั้ง Altman และ Brockman เข้ามานำทีมวิจัย AI ใหม่ของ Microsoft พร้อมประกาศว่ายินดีรับพนักงานที่ลาออกจาก OpenAI ด้วย อย่างไรก็ตาม Microsoft ยังจะคงให้การสนับสนุน OpenAI ต่อไปตามเดิม ไม่ว่าจะมี Altman อยู่หรือไม่
หลังเผชิญเสียงต่อต้านอย่างรุนแรงจากรอบด้าน ในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2023 OpenAI ก็ประกาศว่าบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นที่จะให้ Altman กลับสู่ตำแหน่งซีอีโอของบริษัทตามเดิม และคณะกรรมการที่มีส่วนในการไล่เขาออกจากบริษัทจะลาออกจากตำแหน่ง และจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการชุดใหม่เข้ามาแทนที่
และนี่คือเรื่องราวของ Sam Altman บุรุษผู้เป็นจุดศูนย์กลางของหนึ่งในเหตุการณ์ความวุ่นวายครั้งใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรม AI ซึ่งเราได้เห็นแล้วว่านักลงทุนใน AI ตีค่าเขาไว้สูงขนาดไหน และตัวเขามีอิทธิพลต่อผู้คนรอบข้างมากเพียงใด
Reference: Techcrunch, Britannica, Golden, Nymag