KEY TAKEAWAYS
- เรื่องที่ต้องทำความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับ The Merge ของ Ethereum เช่น การเปิด Node ไม่ต้องใช้เหรียญขั้นต่ำ 32 ETH, The Merge ไม่ได้ทำให้ธุรกรรมเร็วขึ้นหลายเท่า, ไม่ได้ทำให้ Gas Fee ถูกลง เป็นต้น
กระแส The Merge ของ Ethereum (ETH) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงกลไกการยืนยันธุรกรรมจากแบบ Proof-of-Work (PoW) ไปเป็น Proof-of-Stake (PoS) กำลังเป็นหัวข้อที่คนในวงการคริปโตพูดถึงและตื่นเต้นกับมัน แต่ทั้งนี้ยังมีเรื่องที่ใครหลายคนอาจจะได้ยินมาผิดๆ หลังจากการ merge เสร็จสิ้น และ 8 ข้อต่อไปนี้คือสิ่งที่เรามักจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นใน The Merge
เปิด Node ต้องใช้เหรียญขั้นต่ำ 32 ETH
ความเข้าใจผิดที่ 1 : การเปิด Node ต้องใช้เหรียญขั้นต่ำจำนวน 32 ETH
ความจริงคือ : ทุกคนสามารถที่จะเป็นผู้ยืนยันธุรกรรมของ Ethereum ได้ ไม่กำหนด ETH ขั้นต่ำ
ก่อนอื่นต้องทราบก่อนว่า ในระบบของ Ethereum มี node 2 ชนิดคือ node (node คือ คอมพิวเตอร์ที่มีส่วนร่วมกับเครือข่าย) ที่สามารถสร้างบล็อกใหม่ได้ และ node ที่แค่ยืนยันธุรกรรมเฉยๆ โดยไม่ต้องเสนอบล็อกใหม่เข้าไปในระบบ node ที่สามารถเสนอบล็อกเข้าในระบบได้จำเป็นต้องใช้คอมที่แรงพอสมควร เช่น GPU ต้องแรงประมาณหนึ่ง ซึ่ง node เหล่านี้จะได้รับรางวัลเป็น ETH จากการเสนอบล็อกใหม่ แต่ทั้งนี้ node ประเภทนี้มีจำนวนไม่มากนัก
ส่วน node ที่เหลือในระบบซึ่งมีจำนวนมากไม่จำเป็นต้องใช้คอมแรงมาก ขอแค่มีคอมพิวเตอร์ที่มีความจุประมาณ 1-2 TB และสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้เท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะเข้าร่วมยืนยันธุรกรรมในระบบของ Ethereum ได้ node เหล่านี้จะคอยยืนยันความถูกต้องของบล็อกที่ถูกเสนอ ก่อนส่งต่อเข้าไปในระบบ
Gas Fees จะถูกลง
ความเข้าใจผิดที่ 2 : The Merge จะทำให้ Gas Fees ถูกลง
ความจริงคือ : The Merge เป็นการเปลี่ยนแปลงกลไกฉันทามติ ไม่ใช่การขยายความจุของเครือข่าย ดังนั้นจึงไม่ส่งผลให้ค่า Gas ถูกลง
ค่า Gas ในการดำเนินการธุรกรรมบนเครือข่ายของ Ethereum จะขึ้นอยู่กับความจุของเครือข่าย ซึ่ง the merge เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงกลไกฉันทามติจาก PoW ไปเป็น PoS ดังนั้นมันจึงไม่ส่งผลให้ค่า Gas ถูกลง แต่ทั้งนี้ Ethereum กำลังพัฒนาโปรโตคอล Rollup-Centric roadmap ซึ่งจะเป็นการขยายขนาด (scale) layer 2 การดำเนินการนี้ต่างหากที่จะทำให้ค่า Gas ถูกลง
ธุรกรรมจะเร็วขึ้นแบบพุ่งกระฉูด
ความเข้าใจผิดที่ 3 : The Merge จะทำให้การทำธุรกรรมเร็วขึ้นแบบพุ่งกระฉูด
ความจริงคือ : เพิ่มความเร็วขึ้นอยู่บ้าง แต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง
ในการทำงานแบบ PoW บล็อกใหม่ๆ จะถูกสร้างในระยะเวลาประมาณ 13.3 วินาที แต่หลังเปลี่ยนมาใช้ PoS แล้ว บล็อกใหม่จะถูกสร้างทุกๆ 12 วินาที ก็คือเร็วขึ้นประมาณ 10% ซึ่งก็แทบไม่ได้มีความสำคัญเท่าไหร่เลย การอัพเกรด The Merge ทำให้ Ethereum มีความยั่งยืนมากขึ้น และประหยัดการใช้พลังงานมากขึ้น ขั้นตอนการอัพเกรดที่เรียกว่า The Surge ซึ่งเป็นขั้นตอนต่อไปนั่นต่างหากถึงจะทำให้การทำธุรกรรมรวดเร็วขึ้นอย่างมาก
นักลงทุนสามารถถอน ETH ที่ล็อกไว้ในการ Stake ออกมาได้เลย
ความเข้าใจผิดที่ 4 : นักลงทุนสามารถถอน ETH ที่ล็อกไว้ในการ Stake ออกมาได้เลยหลังจาก The Merge
ความจริงคือ : นักลงทุนจะยังไม่สามารถถอน ETH ที่ล็อกไว้สำหรับ Stake ได้เลย ต้องรอจนถึงการอัพเกรดที่เรียกว่า Shanghai จึงจะสามารถอน ETH ที่ล็อกไว้ออกมาได้
เหรียญ ETH ที่ล็อกไว้สำหรับการ stake และ ETH ที่ออกใหม่หลังจากการอัพเกรด the merge จะยังคงถูกล็อกไว้ใน Beacon Chain นักลงทุนจะยังไม่สามารถถอนออกมาได้ การอัพเกรดครั้งต่อไปที่ชื่อ Shanghai จึงจะทำให้นักลงทุนสามารถถอน ETH ออกมาได้ ดังนั้นจึงหมายถึง ETH ที่ถูกล็อกไว้จะไม่สามารถถอนออกมาได้อย่างน้อย 6 – 12 เดือนหลังจาก The Merge
Validators จะไม่ได้รับ ETH เป็นรางวัลจากการมีส่วนร่วมในระบบจนกว่าจะอัพเกรด Shanghai
ความเข้าใจผิดที่ 5 : Validators จะไม่ได้รับ ETH เป็นรางวัลจากการมีส่วนร่วมในระบบจนกว่าการอัพเกรด Shanghai จะเสร็จสิ้น
ความจริงคือ : Validator (Node ผู้ตรวจสอบ) จะสามารถรับรางวัลจากค่าธรรมเนียม MEV (Maximal extractable value – ค่าธรรมเนียมสูงสุดที่ได้จากบล็อก) ได้เลยทันที แต่จะถูกล็อกไว้จนกว่าการอัพเกรด Shanghai จะเสร็จสิ้น
Execution Layer หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ Ethereum Mainnet เป็นส่วนที่แยกออกจาก Consensus Layer อยู่แล้ว เมื่อมีการทำธุรกรรมบน Ethereum Mainnet ระบบก็จะจ่าย ETH ที่ถูกแยกไว้ใน Execution Layer มาเป็นค่า Gas หรือรางวัลให้ Validators ได้เลยทันที แต่รางวัลที่ได้รับจะถูกล็อกไว้ใน Beacon Chain จนกว่าการอัพเกรด Shanghai จะเสร็จสิ้น
เมื่อเปิดให้ถอน ETH ที่ Stake ไว้ออกได้ Staker จะถอน ETH ที่ Stake ออกทั้งหมดในครั้งเดียว
ความเข้าใจผิดที่ 6 : เมื่อเปิดให้ถอน ETH ที่ Stake ไว้ออกได้แล้ว เหล่าผู้ Stake จะถอน ETH ที่ Stake ออกทั้งหมดในครั้งเดียว
ความจริงคือ : Ethereum มีการจำกัดอัตราการถอน ETH จากระบบตรวจสอบ Validators จึงไม่สามารถถอน ETH จากระบบได้พร้อมกันทั้งหมด
ระบบของ Ethereum จะมีการกำหนดอัตราที่ Validator จะถอน ETH จากระบบได้ โดยในทุก 6.4 นาที จะมี Validator เพียง 6 คนที่สามารถถอน ETH ได้ ดังนั้นหมายถึงในหนึ่งวันจะมี Validator สามารถถอน ETH ได้ 1,350 คน หรือหากนับจำนวนเหรียญก็ประมาณ 43,200 ETH ต่อวัน จากจำนวน Stake ที่ล็อกไว้ทั้งหมด 10 ล้าน ETH
กลไกการทำงานตรงนี้มีเพื่อป้องกันการโอนย้าย ETH ออกจากระบบอย่างรวดเร็วและยังป้องกันแฮ็กเกอร์ที่อาจใช้ Stake มาโจมตีระบบด้วย
APR ที่ได้จากการ Stake จะเพิ่มขึ้น 3 เท่า
ความเข้าใจผิดที่ 7 : อัตราดอกเบี้ยต่อปี หรือ APR ที่ได้จากการ Stake จะเพิ่มขึ้น 3 เท่าหลังจากการ merge
ความจริงคือ : อัตราดอกเบี้ยที่ได้จากการ Stake หลังจาก The Merge จะมากกว่าอัตราดอกเบี้ยที่ได้รับในปัจจุบันประมาณ 50% เท่านั้น ไม่ได้มากกว่า 200% (3 เท่าจากดอกเบี้ยที่ได้รับในปัจจุบัน) อย่างที่คาดการณ์
แต่ทั้งนี้จำเป็นต้องรู้ก่อนว่าอัตราดอกเบี้ยที่ได้รับจากการ Stake เพิ่มขึ้นเพราะอะไร มันไม่ได้เพิ่มขึ้นเพราะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการออกเหรียญ ETH (การออกเหรียญ ETH จะลดลงประมาณ 90% หลังจาก merge) แต่จะเพิ่มขึ้นเพราะมีการจัดสรรค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมให้กับ Validators แทนที่จะมอบเป็นรางวัลให้ Miner (ผู้ขุด)
เมื่อ Validators เสนอบล็อกใหม่ จำนวนค่าธรรมเนียมที่ผู้ตรวจสอบได้รับจะแปรผันตามกิจกรรม ณ เวลาที่บล็อกถูกเสนอ ยิ่งเวลานั้นมีการจ่ายค่าธรรมเนียมมากเท่าใด Validators ก็จะยิ่งได้รับรางวัลมากเท่านั้น
เมื่อดูจากกิจกรรมบนบล็อกเชนปัจจุบันพบว่า ประมาณ 10% ของค่า Gas ทั้งหมดที่จ่ายไปในปัจจุบันจะส่งให้กับนักขุดในรูปแบบของทิป ส่วนที่เหลือจะถูกเผา มีการคาดการณ์ว่าเปอร์เซ็นต์นี้จะสูงขึ้นประมาณ 3 เท่า แต่นั่นเป็นการคาดการณ์ในตอนที่ ETH มีมูลค่า All time high
ทั้งนี้หากคาดการณ์ในสถานการณ์ปัจจุบันจะพบว่าอัตราดอกเบี้ยของการ Stake หลังการ merge จะเพิ่มขึ้น 50% ของอัตราดอกเบี้ยที่ได้รับในปัจจุบันเท่านั้น
The Merge จะทำให้ Chain หยุดการทำงาน
ความเข้าใจผิดที่ 8 : The Merge จะทำให้ Chain หยุดการทำงาน
ความจริงคือ : Ethereum ได้วางแผนการทำงานหลายอย่างเพื่อให้แน่ใจว่าเครือข่ายจะสามารถเปลี่ยนไปใช้ PoS ได้อย่างราบรื่นโดยระบบไม่ล่ม
The Merge จะทำการเปลี่ยนแปลงการทำงานโดยระบบที่เรียกว่า Terminal Total Difficulty (TTD) ซึ่งจะวัดกำลังการขุดทั้งหมดที่มีในระบบปัจจุบัน เมื่อถึงเวลาและเงื่อนไขเกี่ยวกับปัจจัยต่างๆ ตรงตามที่กำหนดไว้ มันก็จะเปลี่ยนการทำงานจากระบบ PoW ไปเป็น PoS ได้ในบล็อกถัดไปเลย เป็นการเปลี่ยนแปลงที่แทบไม่รบกวนผู้ใช้เลยแม้แต่น้อย
The Merge เป็นการอัพเกรดที่นักลงทุนในวงการคริปโตได้ยินแผนการมาหลายปีและเอาใจช่วยมาโดยตลอด เพราะมันนับเป็นอีกหนึ่งก้าวที่สำคัญต่ออุตสาหกรรมคริปโตในวงกว้าง ตอนนี้เหมือนว่า The Merge ที่เคยเป็นเพียงแผนการเริ่มที่จะเข้าใกล้ความจริงมากขึ้นแล้ว
References : Ethereum.org