KEY TAKEAWAYS
- Sam จบการศึกษาจาก MIT และได้ฝึกงานที่ Jane Street Capital กองทุนชื่อดังแห่ง Wall Street
- ความมั่งคั่งของ Sam ในช่วงแรกเกิดจากการก่อตั้ง Alameda Research และทำการซื้อขาย Bitcoin แบบ Arbitage
- Sam มีมูลค่าสินทรัพย์กว่า 21,000 ล้านดอลลาร์จากการประเมินของ Forbes ในปี 2021
- เดือนพฤศจิกายน 2022 FTX ล้มละลาย ในขณะที่ Sam ถูกจับเป็นที่เรียบร้อย
ทำความรู้จักกับ Sam FTX มหาเศรษฐีคริปโตแสนล้าน
หนุ่มชาวอเมริกัน ไว้ผมทรงแอฟโฟร่ ชอบใส่เสื้อฮู้ดหรือเสื้อคอกลมสีทึบ มองผ่านๆ คนก็คงจะคิดว่านี่คือชายหนุ่มทั่วไป แต่ความจริงแล้วเขาคือหนึ่งในบุคคลสำคัญของวงการคริปโต ที่มีความมั่งคั่งระดับมหาเศรษฐีตั้งแต่วัยยังไม่พ้น 30
ชายคนนี้เขาเป็นใคร แล้วเขาทำได้ยังไง วันนี้เราจะไปทำความรู้จักกับเขากัน
เด็กชายที่เกิดจากสองอาจารย์
แซม แบงค์แมน ฟรายด์ (Sam Bankman-Fried) เกิดเมื่อปี 1992 ที่เมืองสแตนฟอร์ด แคลิฟอร์เนีย (Stanford, California) เขาเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ 2 อาจารย์กฎหมายจากโรงเรียนกฎหมายสแตนฟอร์ดอย่าง โจเซฟ แบงค์แมน (Joseph Bankman) และบาบาร่า ฟรายด์ (Barbara Fried)
ในสมัยเด็ก แม่ของแซมกล่าวว่าเมื่อสมัยที่แซมยังเป็นเด็ก เธอสังเกตเห็นว่าแซมไม่ชอบไปโรงเรียนอย่างรุนแรง ถึงขนาดที่แซมเคยกลับมาจากโรงเรียนแล้วบอกกับเธอว่า “แม่ ผมเบื่อมาก ผมกำลังจะตาย”
อัจฉริยะด้านคณิตศาสตร์
เมื่อโรงเรียนไม่ใช่คำตอบ ทำให้โจเซฟ และบาบาร่า หาทางเลือกใหม่ๆ ในการส่งเสริมแซม พวกเขาจึงส่งแซมไปเข้าค่ายสำหรับนักเรียนที่มีความโดดเด่นทางด้านคณิตศาสตร์ของประเทศแคนาดา-สหรัฐฯ ที่ซึ่งแซมฉายแววความเป็นอัจฉริยะของเขาจากการเล่นเกมแก้ไขปริศนา หลังจากกลับจากเข้าค่ายเขาก็มาสร้างเกมที่มีแนวทางการเล่นคล้ายๆ กัน แจกให้กับนักเรียนในละแวกบ้านเล่น
ทอยเหรียญเลือกมหาวิทยาลัย
หลักจากจบจากโรงเรียนมัธยม แซมก็ได้ไปศึกษาต่อที่สถาบันเทคโนโลยีแมสซาซูเซตส์ (Massachusetts Institute of Technology : MIT) โดยจากบทสัมภาษณ์แซมตอนนั้น เขาทอยเหรียญหัวก้อย เพื่อเลือกระหว่าง MIT กับ สถาบันเทคโนโลยีแห่งแคลิฟอร์เนีย (California Institute of Technology : CAL Tech)
ในช่วงที่แซมเรียนอยู่ที่ MIT เขาได้เลือกเข้ากลุ่มนักศึกษาที่มีชื่อว่า Epsilon Theta (ET) ซึ่งกลุ่ม ET ก็คล้ายๆ กับกลุ่มอื่นๆ ที่มีเพื่อนนักศึกษามานั่งล้อมวงปาร์ตี้กันจนดึกดื่น แต่ต่างกันตรงที่งานสังสรรค์ของกลุ่ม ET นั้นเต็มไปด้วยการเล่นกระดาน หรือว่าวิดีโอเกม แทนที่จะเป็นเหล้าหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เหมือนกับกลุ่มอื่น
ในตอนที่เป็นนักศึกษาปี 2 แซมได้ค้นพบกับหลักการ Effective Altruism หรือที่เรียกว่า “การเห็นแก่ส่วนรวมอย่างมีประสิทธิภาพ” ซึ่งเป็นแนวคิดที่เชื่อว่าเราต้องพยายามค้นหาคำตอบ และหาเหตุผลที่ดีที่สุดในการช่วยเหลือผู้อื่น ซึ่งแซมก็ได้ยึดหลักการนี้มาจนถึงปัจจุบัน
แซมนั้นชอบเล่นเกมที่เป็นแนววางแผนอย่าง StarCraft หรือ League of Legends (LOL) โดยเขาใช้เวลาในการเล่นเกมพอๆ กับเวลาที่ใช้ในการเรียน แต่ถึงกระนั้น แซมก็สามารถเรียนจนจบการศึกษาจาก MIT ในสาขาวิชาฟิสิกส์ และคณิตศาสตร์ได้
“สิ่งที่เรียนในห้องเรียนไม่ได้มีประโยชน์กับการทำงานส่วนใหญ่ และทุกคนรู้ว่ามันเป็นเรื่องจริง บางคนอาจจะไม่อยากบอกว่ามันจริง แต่มันก็เป็นเรื่องจริง”
แซม แบงค์แมน-ฟรายด์ | Sam Bankman-Fried
ถึงแม้จะได้ร่ำเรียนและจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของโลก แต่แซมก็บอกว่า “สิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากในมหาวิทยาลัยนั้นไม่มีประโยชน์ นอกเหนือจากเรื่องการพัฒนาตนเอง หรือการเข้าสังคม สิ่งต่างๆ ในทางวิชาการนั้นมันเป็นเรื่องไร้สาระ สิ่งที่เรียนในห้องเรียนไม่ได้มีประโยชน์กับการทำงานส่วนใหญ่ และทุกคนรู้ว่ามันเป็นเรื่องจริง บางคนอาจจะไม่อยากบอกว่ามันจริง แต่มันก็เป็นเรื่องจริง”
หลักจากเรียนจบในปี 2014 แซมก็ได้ไปทำงาน Wall Street ในบริษัทที่เขาเคยมาฝึกงานด้วยอย่าง Jane Street Capital ซึ่งเป็นบริษัทที่ใช้กลยุทธ์การวิเคราะห์เชิงปริมาณในการลงทุน (Quantitative Trading) โดยนอกจากเงินเดือนกว่า 6 หลักที่เขาได้รับแล้ว แซมยังรู้สึกมีความสุขมากกับบรรยากาศในการทำงานที่ Jane Street และตลอดระยะเวลาที่เขาทำงานอยู่ที่นี่ แซมได้บริจาคเงินเดือนกว่าครึ่งหนึ่งให้กับการกุศล
Bitcoin Arbritage โอกาสทอง สร้างเงินล้าน
ต่อมาในเดือนกันยายน ปี 2017 แซมได้ลาออกจาก Jane Street และย้ายมาทำงานที่องค์กรการกุศลอย่าง Effective Altruism (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น 80,000 Hours) ในเมืองเบิร์กลีย์ (Berkeley) และช่วงระหว่างที่ทำงานอยู่ที่นี่ แซมก็ได้ตั้ง Alameda Research บริษัทที่เขาและเพื่อนดำเนินกลยุทธ์การเทรดแบบ Quantitative Trading เหมือนกับที่ Jane Street เพียงแต่ว่าที่ Alameda แซมก็ได้เห็นโอกาสในการทำเงินแบบเป็นกอบเป็นกำจากโลกของคริปโตที่ราคาของมันกำลังพุ่งกระฉูด
“โอ้ เยี่ยมไปเลย นี่มันเงินฟรีนี่หน่า”
แซม แบงค์แมน-ฟรายด์ | Sam Bankman-Fried
นี่คือสิ่งที่เขาคิดหลังจากที่เขาได้เห็นโอกาสนี้ ทำให้ในเดือนพฤศจิกายน แซมได้ลาออกจาก Effective Altruism และทุ่มเทให้กับ Alameda Research อย่างเต็มตัวพร้อมกับพาเพื่อนสมัยเรียนที่ MIT อย่างแกรี่ หวัง (Gary Wang) มาร่วมงานกันด้วย
โดยในทีแรกนั้น แซมไม่ได้สนใจในคริปโตเลย แต่เพื่อนของเขาอย่างแกรี่ เคยทำกำไรได้ประมาณพันดอลลาร์ในสมัยที่เรียนอยู่ MIT จากการเขียนโปรแกรมเทรด Bitcoin (BTC) แบบ Arbitage
การเทรดแบบ Arbitage คือ การทำกำไรจากสินค้าชนิดเดียวกัน ที่มีราคาแตกต่างกันจาก 2 ตลาด อย่างเช่น สินค้าชนิดเดียวกัน ตลาด A ราคา 100$ ตลาด B ราคา 90$ เราก็ซื้อสินค้าจากตลาด B ที่ราคา 90$ ไปขายที่ตลาด A ในราคา 100$ ส่วนต่าง 10$ ก็จะเป็นกำไรของเรา
ในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้เองที่แซมได้เห็นโอกาสในการ Arbitage จากการซื้อขาย Bitcoin โดยเขาสังเกตเห็นว่าราคาของ BTC ในแต่ละที่นั้นไม่เท่ากัน ที่เกาหลี แพงกว่าที่สหรัฐฯ ถึง 30% และที่ญี่ปุ่นแพงกว่าที่สหรัฐฯ 15% ทำให้เขารู้ว่า ถ้าเขาซื้อ Bitcoin จากสหรัฐฯ แล้วโอนไปขายที่เกาหลีหรือญี่ปุ่น เขาก็จะได้กำไรโดยแทบไม่มีความเสี่ยงเลย เขาให้สัมภาษณ์ว่าตอนที่เขาเห็นโอกาสนี้ เขาคิดกับตัวเองว่า “โอ้ เยี่ยมไปเลย นี่มันเงินฟรีนี่หน่า”
หลังจากนั้นแซมก็ให้แกรี่ช่วยเขียนเว็บไซต์ที่แสดงราคาของ Bitcoin ในแต่ละที่ขึ้นมา และช่วยกันมองหาโอกาสในการทำ Arbitage โดยในทีแรกนั้นแซมตั้งใจที่จะซื้อ Bitcoin แล้วนำไปขายที่เกาหลีใต้ แต่ว่าที่เกาหลีใต้นั้น พวกเขาประสบปัญหาในการนำเงินกลับมาเนื่องจากข้อกฎหมายเข้มงวดของรัฐบาลเกาหลีใต้ ทำให้เขาเปลี่ยนเป้าหมายไปเป็นตลาด Bitcoin ที่ญี่ปุ่นแทน
การทำ Arbritage Bitcoin ของ Alameda ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง แซมเล่าว่าพวกเขาทำกำไรได้ประมาณ 20 ล้านดอลลาร์ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ แต่หลักจากนั้นไม่นาน การ Arbritage ของพวกเขาก็ประสบกับความยากลำบาก เนื่องจากนักเทรดรายอื่นเริ่มเห็นโอกาสนี้เหมือนกัน ทำให้คู่แข่งเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับตลาดคริปโตก็เข้าสู่ช่วงขาลงอย่างหนักในปี 2018
สร้างโดยนักเทรด เพื่อนักเทรด
ต่อมาไม่นาน แซมก็บินไปร่วมงานสัมนาเกี่ยวกับ Bitcoin ที่มาเก๊า และเขาก็เริ่มรู้สึกไม่ค่อยพอใจกับกระดานซื้อขายคริปโตที่มีอยู่ในตอนนั้นเท่าไหร่ มันยังขาดเครื่องมื่อที่จะรองรับการซื้อขายของเทรดเดอร์มืออาชีพที่ต้องการความรวดเร็ว ทำให้ในเดือนเมษายน ปี 2019 เขาตัดสินใจบินไปฮ่องกง และโทรตามแกรี่เพื่อให้มาช่วยกันตั้งกระดานซื้อขายคริปโตของพวกเขาเอง ที่มีชื่อว่า FTX ซึ่งมีสโลแกนว่า “สร้างโดยนักเทรด เพื่อนักเทรด” (Built by Traders, For Traders)
“FTX น่าจะย่อมาจาก FuTure eXchange ละมั้ง ผมไม่เก่งเรื่องการตั้งชื่อ”
แซม แบงค์แมน-ฟรายด์ | Sam Bankman-Fried
แซมนำผลกำไรจาก Alameda Research บริษัทแรกของเขา รวมกับเม็ดเงินจากบริษัทที่สนใจมาลงทุนประมาณ 8 ล้านดอลลาร์ มาลงทุนกับ FTX ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ได้ขายหุ้นบางส่วนให้กับบริษัทซื้อขายคริปโตฯ อันดับหนึ่งของโลกอย่าง Binance
หลักจากเปิดบริษัทได้เพียงปีเดียว FTX ก็มีมูลค่าการซื้อขายถึงวันละ 1 พันล้านดอลลาร์จากผู้ใช้ 200,000 คนและเพิ่มเป็นวันละ 11,500 ล้านดอลลาร์ในปีที่สองที่เปิดดำเนินการ พร้อมกับจำนวนผู้ใช้ที่เพิ่มขึ้นเป็น 2 ล้านคน
เมื่อ FTX เริ่มโตขึ้น และสามารถทำรายได้อย่างสม่ำเสมอ พร้อมทั้ง Alameda Research ที่กำลังไปได้สวยเช่นกัน แซมได้ใช้เงินส่วนใหญ่ของเขาไปกับการลงทุน โดยเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เขาได้ซื้อหุ้นของ FTX คืนมาจาก Binance คิดเป็นมูลค่าร์กว่า 2,300 ล้านดอลลาร์
มูลค่าของ FTX, FTX.US และ Alameda Reseach ที่รวมกันแล้วมากกว่า 40,000 ล้านดอลลาร์ ทำให้แซมกลายเป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีพันล้านที่อายุน้อยกว่า 30 ปี จากการจัดอันดับของนิตยสาร Forbes เมื่อปี 2021 และติดอันดับมหาเศรษฐี 100 อันดับแรกของโลกในปัจจุบัน ด้วยมูลค่าสินทรัพย์ทั้งหมดกว่า 21,000 ล้านดอลลาร์
ถึงแม้ธุรกิจคริปโตของแซมกำลังไปได้สวย แต่ก็เคยมีคนไปถามเขาว่า เขาจะยอมทิ้งธุรกิจคริปโตหรือไม่ ถ้าหากว่ามีธุรกิจอื่นที่ทำเงินได้มากกว่า แซมตอบแบบไม่คิดเลยว่า “ทิ้งสิครับ”
.
.
.
อัพเดต | ปัจจุบันกระดานเทรดคริปโต FTX ยื่นล้มละลายไปแล้วเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2022 เนื่องจากนำเงินของลูกค้าไปทำธุรกรรมอื่นๆ ในขณะที่ Sam Bankman-Fried ถูกจับเรียบร้อยแล้ว อ่านรายละเอียดการล่มสลายของ FTX ได้ที่ สรุปเหตุการณ์ FTX กระดานเทรดคริปโตอันดับ 2 ของโลก ที่ล่มสลายภายในชั่วข้ามคืน
References : Forbes, Businessofbusiness, Finance