KEY TAKEAWAYS
- The Merge คือการเปลี่ยนจาก Proof-of-Work ไปเป็น Proof-of-Stake ซึ่งจะช่วยลดการใช้พลังงานลง 99.5% และ ลดอัตราเงินเฟ้อลง 90%
- The Surge คือ คือการนำระบบ Sharding มาช่วยในการประมวลผลข้อมูล ช่วยให้สามารถประมวลผลธุรกรรมได้เร็วขึ้น รองรับจำนวนธุรกรรมได้มากขึ้น
- The Verge คือการเปลี่ยนจาก Merkle Tree มาเป็น Verkle Tree และเพิ่ม Stateless Clients ซึ่งลดข้อมูลที่ใช้ในการประมวลผล และลดพื้นที่การจัดเก็บข้อมูล
- The Purge คือการลบข้อมูลในโหนดที่ไม่จำเป็นออกไป ช่วยเพิ่มความคล่องในการจัดการข้อมูล ซึ่งจะช่วยลดความแออัดของเครือข่าย
- The Splurge คือการตรวจสอบประสิทธิภาพของการอัพเกรดก่อนหน้านี้ เป็นการอัพเกรดเพื่อให้ Ethereum สามารถทำงานได้อย่างราบรื่น
บล็อกเชน Ethereum ตั้งแต่แรกเริ่มนั้นทำงานด้วยระบบอัลกอริทึมฉันทามติ (Consensus Algorithm) แบบ Proof-of-Work (PoW) เช่นเดียวกับ Bitcoin ซึ่งระบบ PoW นั้นใช้พลังงานไฟฟ้ามหาศาล กลายเป็นเป้าโจมตีของนักวิจารณ์ เนื่องจากในปัจจุบันผู้คนจำนวนมากให้ความสำคัญกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ (Climate change) ทำให้ Vitalik Buterin ผู้ก่อตั้ง Ethereum นั้นเริ่มดำเนินการเกี่ยวกับระบบ Consensus Algorithm แบบที่กินไฟน้อยกว่า ใช้พลังงานน้อยกว่า อย่าง Proof-of-Stake (PoS)
นอกจากนี้หลายคนที่เคยใช้งานบล็อกเชน Ethereum ก็คงจะพอทราบว่า ในช่วงเวลาที่มีผู้ใช้งานจำนวนมาก ในการทำธุรกรรมนั้นใช้เวลานาน และมีค่าธรรมเนียมที่แพงมาก ในบางครั้งพุ่งสูงถึงระดับหลายร้อยดอลลาร์ต่อหนึ่งธุรกรรมเลยที่เดียว
ซึ่งปัญหาดังกล่าวนั้นเกิดจาก ระบบ PoW ของเครือข่าย Ethereum นั้นขาดความสามารถในการขยายเครือข่าย (Scalability) โดยในปัจจุบันสามารถรองรับการทำธุรกรรมได้ 12-15 ธุรกรรมต่อวินาทีเท่านั้น
การอัพเกรดของ Ethereum หรือที่เรียกกันว่า Ethereum 2.0 นั้นจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาดังกล่าว โดยนอกจาก The Merge แล้วยังมีการอัพเกรดอีก 4 ตัวด้วยกันคือ Surge, Verge, Purge และ Splurge ซึ่งเดี๋ยวเราจะไปทำความจะรู้จักกันว่าการอัพเกรดแต่ละครั้ง จะเปลี่ยน Ethereum อย่างไรบ้าง
The Merge
The Merge ไม่ใช่การอัพเกรดเพื่อให้ค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมนั้นถูกลง แต่เป็นการเปลี่ยนระบบฉันทามติของ Ethereum จาก Proof-of-Work ไปเป็น Proof-of-Stake โดยบล็อกเชน Ethereum นั้นจะถูกผสานเข้ากับ Beacon Chain ซึ่งเป็นบล็อกเชนเสมือนที่ทำงานคู่ขนานกับ Ethereum ด้วยระบบ PoS มาตั้งแต่ปี 2020
การเปลี่ยนผ่านจาก PoW ไปเป็น PoS นั้นจะช่วยให้บล็อกเชน Ethereum นั้นมีความสามารถในการขยายเครือข่าย (Scalability) มากขึ้น มีความปลอดภัย (Security) มากขึ้น และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน (Sustaninability) โดยจะลดการใช้พลังงานลงถึง 99.5% และทำให้อัตราเงินเฟ้อของ ETH นั้นลดลงกว่า 90%
ทาง Ethereum Foundation ได้กำหนดให้บล็อกที่ 58750000000000000000000 เป็นจุดเริ่มต้นของ The Merge โดยคาดว่าบล็อกดังกล่าวจะอยู่ในช่วงวันที่ 15-16 กันยายน 2022
The Surge
การอัพเกรดที่ทำให้บล็อกเชน Ethereum นั้นสามารถทำธุรกรรมได้อย่างรวดเร็ว และมีค่าธรรมเนียมที่ถูกนั้นคือ The Surge ไม่ใช่ The Merge โดย The Surge คือการนำระบบ Sharding เข้ามาใช้กับบล็อกเชน Ethereum
ระบบ Sharding คือการนำโซลูชั่นการปรับขนาด (Scaling Solution) มาใช้ ด้วยการนำข้อมูลบนบล็อกเชน มาแบ่งออกเป็นชิ้นย่อยหลายๆ ชิ้นเพื่อให้ Validator (ผู้ทำหน้าที่คอยตรวจสอบธุรกรรมบนเครือข่าย) นั้นสามารถประมวลผลข้อมูลพร้อมๆ กันได้ โดยไม่จำเป็นต้องให้ Validator ใดประมวลผลเพียงหน่วยเดียว การทำแบบนี้จะช่วยให้ Ethereum สามารถประมวลผลธุรกรรมได้เร็วขึ้น และรองรับการทำธุรกรรมต่อวินาทีได้มากยิ่งขึ้น
Vitalik Buterin กล่าวว่า หลังจากที่ The Surge นั้นเสร็จเรียบร้อย บล็อกเชน Ethereum นั้นจะสามารถประมวลผลธุรกรรมได้ถึง 100,000 ธุรกรรม/วินาที โดยคาดว่า The Surge จะแล้วเสร็จในช่วงปี 2023
The Verge
The Verge คือการปรับปรุงบล็อกเชน Ethereum ด้วยการใช้ “Stateless Clients” และเปลี่ยนจาก Merkle Trees ไปเป็น Verkle Trees ซี่ง The Verge จะช่วยให้ Validator นั้นสามารถตัวสอบข้อมูลหรือธุรกรรมบนบล็อกเชนได้ง่ายขึ้น และเร็วขึ้น รวมถึงทำให้มีความเป็น Decentralized มากขึ้นด้วย
Verkle Trees ทำให้ Validator นั้นไม่จำเป็นต้องนำข้อมูลทั้งหมดไปประมวลผล แต่จะนำข้อมูลเพียงส่วนเดียว หรือบางส่วนเท่านั้นไปใช้ในการยืนยันธุรกรรม โดยจะทำให้ Validator นั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูล
นอกจากนี้จะทำให้ความเร็วในการทำธุรกรรมบน Ethereum นั้นรวดเร็วขึ้น และรองรับธุรกรรมได้มากขึ้นอีกด้วย
The Purge
The Purge นั้นเป็นการอัพเกรดเกี่ยวกับข้อมูลบนบล็อกเชนเหมือนกับ The Verge เพียงแต่ The Purge นั้นจะทำการจัดการข้อมูลที่แต่ละโหนดนั้นต้องจัดเก็บ โดยจะช่วยลบข้อมูลในอดีตที่ไม่จำเป็นออกไป เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการจัดการข้อมูล ซึ่งจะช่วยลดความแอดอัดของเครือข่าย
The Splurge
เมื่อมีการอัพเกรดเสร็จสิ้น The Splurge จะเป็นการอัพเกรดขั้นตอนสุดท้าย โดยจะเป็นการอัพเกรดเบ็ดเตล็ดทั่วไปเพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพของการอัพเกรด 4 รายก่อนหน้านี้
ทางด้าน Vitalik ได้กล่าวว่าการอัพเกรด The Merge นั้นจะทำให้ Ethereum 2.0 นั้นสำเร็จไปราว 50% และ The Surge จะทำให้สำเร็จไปกว่า 80%
References : Ethereum.org, Volt.capital, Decrypt.co, Cnet