KEY TAKEAWAYS
- Wirecard บริษัทที่ผู้คนมองว่านี่เป็น FinTech ที่จะเป็นส่วนสำคัญในการพาโลกไปยังสังคมไร้เงินสดในอนาคต ที่เคยมีมูลค่าสูงสุดถึง 26,890 ล้านยูโร แต่ปัจจุบันมันล่มสลาย เหลือมูลค่าเพียง 31.10 ล้านยูโรเท่านั้น
- Wirecard เป็นบริษัทที่ให้บริการชำระเงินออนไลน์ ที่เติบโตอย่างรวดเร็วมาพร้อมกับเทรนของโลกที่ค่อยๆ ขยับเข้าสู่สังคมออนไลน์ และมีการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซอย่างต่อเนื่อง
- ความผิดปกติของบัญชีการเงินของ Wirecard เริ่มปรากฏตั้งแต่ปี 2008 แต่ก็ไม่มีใครสามารถเปิดโปง Wirecard ได้ แต่การสืบข่าวอย่างต่อเนื่องของนักข่าวหลายสำนัก โดยเฉพาะ Dan McCrum จาก Financial Times ก็ทำให้ข้อมูลค่อยๆ เผยออกมาจนทำให้ Wirecard ล่มสลายในปี 2019
- Dan McCrum เขียนหนังสือเรื่อง Money Men ที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับคดี Wirecard และมันถูกนำไปสร้างเป็นสารคดีชื่อ Scandal!
นักลงทุนมักจะมองหาการลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อย และส่วนมากก็มองว่าบริษัทใหญ่มีความน่าเชื่อถือมากกว่าบริษัทเล็กๆ อันที่จริงส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างนั้น แต่มันไม่เสมอไป อย่างเช่นกรณีการล่มสลายของ Wirecard ที่ดูจะเป็นตัวอย่างที่เด่นชัดมากในเรื่องนี้
Wirecard เคยเป็นบริษัทผู้ให้บริการทางการเงินที่ใหญ่ระดับโลก ใหญ่ขนาดที่ว่าผู้คนมองว่านี่เป็นบริษัท FinTech ที่จะเป็นส่วนสำคัญในการพาโลกไปยังสังคมไร้เงินสดในอนาคต แต่วิมานอากาศนั้นก็เป็นอันล่มสลายลง เมื่อความจริงเปิดเผยออกมาว่า ความยิ่งใหญ่ของ Wirecard แทบไม่มีสิ่งใดที่เป็นของจริงเลย ทำให้บริษัท FinTech แห่งเยอรมันที่เคยมีมูลค่าสูงถึง 26,890 ล้านยูโร เป็นอันต้องล่มสลาย เกิดเป็นคดีฉ้อโกงระดับโลก
รายละเอียดเบื้องหลังการโกงครั้งใหญ่ของโลกครั้งนี้เป็นอย่างไร เราจะมาย้อนอดีตเพื่อทำความเข้าใจกัน
Wirecard คืออะไร และวิถีทางที่ค่อยๆ กลายมาเป็นบริษัทที่ (ดูเหมือนว่าจะ) ประสบความสำเร็จ
Wirecard เป็นบริษัทสัญชาติเยอรมัน ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1999 ในช่วงสิ้นสุดของยุคฟองสบู่ดอทคอม เป็นบริษัทให้บริการการชำระเงินออนไลน์ Wirecard เป็นตัวกลางที่ทำให้ลูกค้าและร้านค้าเชื่อมต่อกันได้ คล้ายๆ Apple Pay หรือ PayPal แต่จะมุ่งเน้นไปที่กลุ่มสินค้าที่สถาบันการเงินอื่นๆ อาจปฏิเสธ เช่น เว็บหนังผู้ใหญ่และเว็บพนัน ในภายหลังจึงได้ขยายธุรกิจออกไปยังสินค้ากลุ่มอื่นๆ มีพาร์ทเนอร์มากมายรวมถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลก อย่างเช่น WeChat, Apple และ Google ด้วย
รายได้ส่วนใหญ่ของ Wirecard มาจากส่วนแบ่งเปอร์เซ็นที่เกิดขึ้นจากยอดขายของร้านค้าพาร์ทเนอร์ต่างๆ ที่ให้ลูกค้าชำระเงินผ่าน Wirecard รวมถึงการขายบริการอื่นๆ อย่างข้อมูลวิเคราะห์ธุรกรรมให้กับลูกค้าระดับองค์กร ซึ่งก็ดูเหมือนเป็นโมเดลธุรกิจที่มาถูกที่ถูกเวลา เพราะโลกค่อยๆ ขยับเข้าสู่สังคมออนไลน์ และมีการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซอย่างต่อเนื่อง
Wirecard ได้รับความน่าเชื่อถือในฐานะผู้ให้บริการรับชำระเงินออนไลน์ และขยายการเติบโตออกไปเรื่อยๆ จนในปี 2005 ก็ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แฟรงก์เฟิร์ต (Frankfurt stock exchange) และในปี 2018 Wirecard ก็ได้กลายมาเป็นหนึ่งในหุ้น blue-ship ของดัชนี DAX เป็น 1 ใน 30 บริษัทของเยอรมันที่มีมูลค่ามากที่สุด ซึ่งถ้าหากถามว่าใหญ่ขนาดไหน ก็คงต้องบอกว่าใหญ่เท่ากับ ด็อยท์เชอแบงค์ (ธนาคารเยอรมัน : Deutsche Bank) ซึ่งเป็นธนาคารเพื่อการลงทุนและสถาบันการเงินรายใหญ่ที่สุดของประเทศเยอรมนีเลยทีเดียว
คนเยอรมันส่วนหนึ่งภูมิใจกับการเติบโตของ Wirecard มาก เพราะแม้เยอรมันจะนับได้ว่าเป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมที่ประสบความสำเร็จมาก แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นบริษัทเก่า อย่างเช่น BMW, Volkswagen, Siemens ดังนั้นความสำเร็จของบริษัทเทคหน้าใหม่อย่าง Wirecard จึงเป็นเรื่องที่น่าตื่นตาตื่นใจมาก
แต่ความสำเร็จของ Wirecard เหมือนความงดงามของดอกไม้ไฟ สว่างไสวเพียงชั่วเวลาหนึ่งก่อนจะดับแสงหายไปตลอดกาล Wirecard เคยมีมูลค่าตลาดสูงสุดถึง 26,890 ล้านยูโรในปี 2018 ปัจจุบันเหลือเพียง 31.10 ล้านยูโรเท่านั้น
มหากาพย์ความอื้อฉาวแห่งโลกการเงิน
Wirecard ล่มสลายเมื่อปี 2020 แต่ธงแดงที่โบกสะบัดเพื่อดึงดูดสายตาของนักลงทุนให้จับจ้องไปที่ความไม่ชอบมาพากลของ Wirecard เริ่มมาตั้งแต่ปี 2008 เมื่อประธานสมาคมผู้ถือหุ้นแห่งเยอรมันสังเกตเห็นถึงความผิดปกติในบัญชีงบดุล หลังจากนั้นบริษัทตรวจสอบบัญชี Ernst & Young (EY) ก็เข้ามารับหน้าที่เป็นผู้ตรวจสอบบัญชีให้ Wirecard
แต่การสังเกตเห็นความผิดปกติเพียงแค่นั้นไม่สามารถทำอะไร Wirecard ได้ บริษัทยังคงดำเนินต่อไปและขยายความเติบโตไปทั่วโลก ด้วยการเข้าซื้อบริษัทชำระเงินในเอเชียและตั้งสาขาในสิงคโปร์ จนกระทั่งปี 2015 ก็มีข่าวไม่ดีออกมาอีกครั้ง
ครั้งนี้เป็นการโจมตีจากสื่อการเงินเจ้าใหญ่ของโลกอย่าง Financial Times (FT) นำโดยนักข่าวที่ชื่อแดน แมคครัม (Dan McCrum) ที่ชี้ให้เห็นว่าบัญชีการเงินกว่า 250 ล้านยูโรของ Wirecard มีความผิดปกติ แต่การรายงานนั้นก็ถูกตีกลับด้วยทนายของ Wirecard ไม่เพียง FT เท่านั้น ยังมีรายงานจาก J Capital Research ที่เสนอให้ขายชอร์ตหุ้น Wirecard เพราะพบว่าบริษัทของ Wirecard ที่ตั้งในเอเชียนั้นมีขนาดเล็กกว่าที่ Wirecard กล่าวอ้าง แต่รายงานต่างๆ เหล่านี้ก็ยังไม่สามารถส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อ Wirecard ได้ แถมบริษัทเจ้ากรรมยังเดินหน้าขยายธุรกิจต่อไปด้วยการเข้าซื้อธุรกิจบัตรเติมเงินจาก Citibank ทำให้พวกเขาดำเนินธุรกิจในสหรัฐฯ ได้
ไม่นานหลังจากนั้น ในปี 2016 ก็มีรายงานเกี่ยวกับความผิดปกติอีกครั้ง ครั้งนี้มาจากหน่วยงานที่ไม่เป็นที่รู้จัก ชื่อ Zatarra Research รายงานถึงการฟอกเงินของผู้บริหารระดับสูงและการฉ้อโกง Mastercard และ Visa เอกสารนี้ทำให้ราคาหุ้นของ Wirecard ตก และ BaFin ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินของเยอรมันเริ่มสืบสวนเกี่ยวกับการปั่นตลาด
ในขณะเดียวกันสื่อ Financial Times ที่พยายามมองหาความถูกต้องและตีแผ่เรื่องราวการฉ้อโกงของ Wirecard มาโดยตลอดก็ได้พบว่ารายได้ประมาณครึ่งหนึ่งของ Wirecard ได้มาจากพาร์ทเนอร์หลักๆ เพียงสามรายในเอเชียเท่านั้น แต่เมื่อนักข่าวคนหนึ่งตามไปตรวจสอบถึงที่อยู่ สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือที่อยู่ที่ควรเป็นที่ตั้งของบริษัทกลับกลายเป็นบ้านของครอบครัวกะลาสีเรือวัยเกษียณคนหนึ่งในฟิลิปปินส์เท่านั้น
มกราคม ปี 2019 Financial Times ได้เผยแพร่รายงานว่าผู้บริหารระดับสูงรายหนึ่งของ Wirecard อาจจะ ‘ปลอมแปลงบัญชี’ และ ‘ฟอกเงิน’ รวมถึงมีการทำ ‘round tripping’ (เป็นการฟอกเงินที่ส่งเงินจาก Wirecard ในเยอรมันไปยังบริษัทลูกค้าของ Wirecard ในฮ่องกง เงินนี้ก็จะปรากฎในงบดุลครู่หนึ่งก่อนจะถูกส่งต่อไปยังบริษัท Wirecard สาขาประเทศอินเดีย ทางผู้ตรวจสอบบัญชีอินเดียก็จะเห็นว่าเงินนี้เป็นเงินจากธุรกิจที่ถูกกฎหมาย)
เมื่อมีการตีพิมพ์ข่าวจาก Financial Times ออกไป ทาง Wirecard เองก็ออกมาโต้แย้งโดยอ้างมุขเก่าๆ ที่เคยอ้างมาทุกครั้งที่มีการรายงานถึงความผิดปกติของบัญชีว่าเรื่องเหล่านี้ไม่เป็นความจริง และเรื่องเหล่านี้มาจากบริษัทคู่แข่งและบรรดานักขายชอร์ตหุ้นที่พากันโจมตีเพื่อหวังผลประโยชน์ รวมถึงยังมีการฟ้อง Financial Times อีกด้วย จากนั้น BaFin ได้ออกมาสั่งห้ามขายชอร์ตหุ้น Wirecard เนื่องจากเกรงว่ามันจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น ซึ่งนี่นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เยอรมันที่มีการออกกฎห้ามขายชอร์ตหุ้นรายตัว
แต่ก็มีรายงานจาก Financial Times ออกมาเรื่อยๆ เช่น กำไรของ Wirdcard ในดับลินและดูไบสูงเกินจริง หรือมีการพบข้อมูลลูกค้าของ Wirecard ที่ตรวจสอบแล้วไม่มีตัวตนอยู่จริง เป็นต้น
เมื่อได้รับการกดดันจากนักลงทุนหนักขึ้น Wirecard จึงจำเป็นต้องให้บริษัทตรวจสอบบัญชีอีกหนึ่งบริษัทเข้ามาตรวจสอบบัญชีร่วมกับ EY ที่เคยใช้บริการ (แต่ก็ไม่เคยพบข้อผิดพลาดของบัญชีเลย) และบริษัทดังกล่าวก็คือ KPMG
และแล้วการเข้ามามีส่วนร่วมของ KPMG ก็ทำให้เห็นแนวโน้มอนาคตของ Wirecard แล้ว เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2020 KPMG ออกมาบอกว่าตัวเลขที่ Wirecard รายงานนั้นมีหลักฐานไม่เพียงพอ และตรวจสอบไม่ได้ ทำให้หุ้นของ Wirecard ร่วงลงถึง 26%
เมื่อมาถึงเดือนมิถุนายน 2020 ก็ถือเป็นเดือนที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับ Wirecard อาจจะต้องจดจำไปตลอดชีวิต เพราะนี่เหมือนจะเป็นเดือนแห่งการล่มสลายของ Wirecard เริ่มจากวันที่ 5 มิถุนายน สำนักงานใหญ่ของ Wirecard ถูกตำรวจตรวจค้น จากนั้นในวันที่ 18 มิถุนายน บริษัทผู้ตรวจสอบบัญชี EY ก็พบว่าเงินกว่า 1,900 ล้านยูโรที่ Wirecard อ้างว่าฝากไว้ในบัญชีเอสโครว์ในประเทศฟิลิปปินส์นั้นไม่มีอยู่จริง
นี่นับเป็นจุดล่มสลายของ Wirecard เพราะเงิน 1,900 ล้านยูโรนั้นถือเป็น 1 ใน 4 ของงบดุลของ Wirecard เลยทีเดียว แต่จุดสำคัญนั่นก็คือการที่ผู้คนได้รับรู้ว่าความยิ่งใหญ่ของ Wirecard นั้นเป็นเรื่องหลอกลวงทั้งสิ้น
จากนั้น มาคัส เบราส์ (Markus Braun) CEO ของ Wirecard ก็ประกาศลาออก ทำให้หุ้นบริษัทร่วงลง 72% ภายในสองวัน Wirecard ออกมาประกาศว่าเงิน 1,900 ล้านบาทนั้นไม่น่าจะมีอยู่ตั้งแต่แรก และ Markus Braun ก็ถูกตำรวจเยอรมันจับในข้อหาปลอมแปลงบัญชี
ผลกระทบหลังจากการล่มสลายของ Wirecard
ปริศนาคลี่คลายคล้าย เหมือนเนื้อหาหน้าท้ายๆ ของนวนิยายเล่มหนาสักเล่ม หลังจาก Wirecard ล้มละลาย Markus Braun ถูกจับ แต่เขาออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยอ้างว่าเขาเองก็ถูกหลอกและเป็นเหยื่อของกลโกงครั้งนี้เช่นกัน
แต่ปริศนาที่อาจยังต้องตามต่อคือ ยาน มาซาเลค (Jan Marsalek) ชาวออสเตรียผู้เป็นประธานฝ่ายปฏิบัติการของบริษัทได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ทั้งนี้มีข่าวลือว่าเขามีความสัมพันธ์กับหน่วยข่าวกรองรัสเซียและเชื่อว่าในปัจจุบันอาจหลบซ่อนอยู่ในรัสเซีย เขาอยู่ในรายชื่อของคนที่ Europol ต้องการตัวมากที่สุด
นอกจากนี้การที่ Wirecard ตบตาผู้คนมาได้ตลอดหลายปีก็นับเป็นความผิดพลาดของหลายหน่วยงานเช่นกัน ผู้คนต่างตั้งคำถามเกี่ยวกับการทำงานของหน่วยงานต่างๆ ดังนั้นกรุงเบอร์ลินจึงได้ประกาศว่าจะมีการปฏิรูปกฎเกณฑ์เกี่ยวกับบัญชี รัฐบาลเยอรมันประกาศว่าจะมีการจัดการไต่สวนเพื่อหาสาเหตุที่รัฐบาลล้มเหลวในการป้องกันการฉ้อโกงขององค์กร เพราะความล้มเหลวครั้งนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของนักการเมืองเยอรมันกับ Wirecard ด้วย
ช่วงต้นปี 2021 เฟลิกซ์ ฮูเฟลด์ (Felix Hufeld) ประธานของ BaFin ประกาศลาออกจากตำแหน่ง
ส่วนความดีความชอบในการเปิดโปงกลโกงระดับโลกครั้งนี้ต้องยกให้สำนักสื่อที่ได้กล่าวถึงไปแล้วอย่าง Financial Times ที่ตามขุดคุ้ยและปะติดปะต่อเรื่องราวจนสามารถตีแผ่ความจริงของ Wirecard ออกมาได้ โดยเฉพาะนักข่าวที่ชื่อ Dan McCrum ในเดือนพฤษจิกายน 2020 เขาได้รับรางวัลสูงสุดในการทำข่าวสอบสวนในประเทศเยอรมัน
ต่อมาในเดือนมิถุนายน 2022 เขาได้ออกหนังสือเรื่อง Money Men: A Hot Startup, A Billion Dollar Fraud, A Fight for the Truth ซึ่งเขียนจากการสืบสวนเรื่องราวการฉ้อโกงของ Wirecard นี่เอง และมันถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์สารคดีใน Netflix เรื่อง Skandal!
ครั้งหนึ่งใครหลายคนมองว่า Wirecard จะเป็นหนึ่งในผู้ที่ส่งผลกระทบสำคัญต่อวงการการเงินโลกโดยจะเป็น FinTech ที่จะพาโลกไปยังสังคมไร้เงินสด ใครจะคิดว่าผ่านมาจนถึงวันนี้ Wirecard ได้เป็นส่วนสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์การเงินโลกจริงๆ เพียงแต่เป็นในสิ่งที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง
แต่บทเรียนจาก Wirecard ก็คงทำให้เราพิจารณาหลายๆ อย่างได้ละเอียดมากขึ้น มันอาจจะผลักดันให้ระบบการเงินโลกเป็นไปอย่างรัดกุมขึ้น ทำให้หลายๆ หน่วยงานทำงานกันอย่างละเอียดขึ้น และเป็นบทเรียนให้เราพิจารณาว่าสิ่งที่ดูเหมือนแน่นอน มั่นคง และยิ่งใหญ่นั้น อาจไม่ใช่อย่างที่เราปักใจเชื่อตั้งแต่แรกก็ได้
References: Esquire, Wikipedia1, Wikipedia2, Sputniknews, Reuters, Netflix