KEY TAKEAWAYS
- ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ปรับอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น 0.75% ครั้งที่ 4 ติดต่อกันเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
- อัตราเงินเฟ้อยังคงสูงขึ้นเนื่องมาจากโรคระบาด ราคาอาหารและราคาแก๊สที่สูงขึ้น และแรงกดดันด้านราคาที่กว้างขึ้น FED กล่าว
- FED ชี้ว่า มีแนวโน้มที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป เพื่อที่จะทำให้อัตราเงินเฟ้อกลับไปเป็นตามเป้าหมายคือ 2%
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ปรับอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น 0.75% ครั้งที่ 4 ติดต่อกันหลังจากการประชุมที่ผ่านมา ขณะที่เจอโรม พาวเวลล์ (Jerome Powell) ยังคงยืนยันว่าจะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อชะลอภาวะเงินเฟ้อที่หนักที่สุดในรอบ 40 ปี
“อัตราเงินเฟ้อยังคงสูงขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความไม่สมดุลของ demand-supply ซึ่งเกิดต่อเนื่องมาจากโรคระบาด ราคาอาหารและราคาแก๊สที่สูงขึ้น และแรงกดดันด้านราคาที่กว้างขึ้น” FED กล่าว และเพิ่มเติมว่า “ยังคงมุ่งมั่นที่จะทำให้อัตราเงินเฟ้อกลับไปเป็นตามเป้าหมายคือ 2%”
“ในความคิดของผมตอนนี้มันยังเร็วเกินไปที่เราจะหยุดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย” Powell กล่าว “นโยบายของเราคือต้องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องและแน่นอนว่าเราไม่รู้ว่ามันจะสูงขึ้นไปแค่ไหน” เมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจนถึงระดับที่ FED รู้สึกว่าเป็นระดับที่เพียงพอแล้ว พวกเขาจะคงระดับนั้นไว้จนกว่าจะมีหลักฐานที่น่าสนใจว่าอัตราเงินเฟ้อจะกลับมาที่ 2%
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 3.75% – 4.00% ถือว่าสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2008 ซึ่ง Powell บอกว่าอัตราดอกเบี้ยอาจจะเพิ่มขึ้นเหนือระดับ 4.6% ที่เคยคาดการณ์กันไว้ก่อนหน้า
การปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น 0.75% 4 ครั้งติดต่อกันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะ FED เริ่มกำหนดเป้าหมายเงินกองทุนของรัฐบาลเพื่อดำเนินนโยบายทางการเงินในช่วงปลายยุค 80s เท่านั้น
ทั้งนี้ Powell ยังยอมรับว่าเศรษฐกิจกำลังชะลอตัว ส่วนตลาดแรงงานกำลังแข็งแกร่ง โดยชี้ไปที่ว่าการจ้างงานเพิ่มขึ้นและอัตราการว่างงานต่ำ ตำแหน่งงานว่างลดลงอย่างรวดเร็วในเดือนสิงหาคม และอัตราการออกจากงานีแนวโน้มลดลง ส่วนงานใหม่มีจำนวนน้อยลงทุนเดือน
จากการปรับอัตราดอกเบี้ยของ FED ส่งผลให้ตลาดหุ้น S&P 500 ตกลงมา 2.5% ขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ร่วงลงเล็กน้อยและกลับมาเพิ่มขึ้น 4.04% แต่ก็ยังน้อยกว่าเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาโดยอยู่ที่ 4.05% ผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปี สูงขึ้นถึง 4.55% นอกจากนี้ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง 0.36% ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่ามากขึ้น
References: Finance.yahoo, CNBC, Marketwatch